วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๘๘ / วันที่ ๑๐ ส.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันศุกร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) ทำไมบางเวลามีความคิดไม่ดี ที่เราไม่พึงประสงค์แล่นอยู่ในหัว ทั้งๆ ที่เราไม่อยากให้เกิดแต่ก็ควบคุมมันไม่ได้ ยิ่งอยากให้หยุดเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น บางครั้งถึงกับจินตนาการเห็นภาพไปเลย อาการอย่างนี้มีสาเหตุมาจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร?

ก็มี ๒ สาเหตุหลักๆนะ จากภายในและจากภายนอกนะครับ ก็โลกเราเนี่ยที่เห็นว่ามันจับต้องได้ มันเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม มันเป็นวงกลม มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู แบบนี้เนี่ย จริงๆแล้วยังมีคลื่น เหมือนกับที่เราไม่สามารถจะเห็นคลื่นวิทยุ ไม่สามารถจะเห็นคลื่นที่มาจากนอกโลกอะไรแบบนี้นะ รังสีคอสมิกอะไรอย่างนี้ ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นแต่มันก็มีอยู่จริง แต่ถ้าหากว่าเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปกว่านั้นอีก ก็จะเห็นนะ ว่านอกจากเรื่องของคลื่นคอสมิก เรื่องของคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยตา ฟังไม่ได้ยินด้วยหู ยังมีคลื่นที่มากไปกว่านั้น อย่างเช่นคลื่นกุศล คลื่นอกุศลนะครับ

ถ้าหากว่า โลกส่วนใหญ่ถูกครอบครองอยู่ด้วยคนที่มีน้ำจิตเป็นอกุศลก็เรียกว่า โลกกำลังมืดอยู่นะ ถ้าหากว่าโลกมีคนดีๆมีศีลธรรมอยู่โดยมากอย่างนี้ก็เรียกว่าโลกสว่างอยู่ ถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกที่สว่าง ความคิดหรือว่าคลื่นที่มันมากระทบจิตของเราเนี่ย ก็จะมีความดีงาม จะมีความเป็นกุศล จะทำให้จิตของเราปรุงแต่งไปในทางที่ดี แต่ถ้าหากว่าโลกกำลังมืดอยู่นะ บางทีเราอยู่เฉยๆมันเหมือนกับมีคลื่นอะไรลอยมากระทบใจ คือไม่ใช่เกิดจากการที่เราไปตั้งใจไม่ดี หรือทำผิดคิดร้ายอะไรนะ มันลอยเข้ามากระทบแล้วก็ก่อให้เรารู้สึกไม่ดี

เหมือนยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด เท่าที่คนทั่วไปจะมีประสบการณ์กันนะ อย่างเข้าไปในสถานที่ที่เครียดๆ เค้าทำงานกันแบบหมกมุ่น ครุ่นคิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง เข้าไปเราก็จะรู้สึกอึ้งหนัก หรือถ้าเข้าไปในบ่อนพนันนะ เราอาจจะมีความรู้สึกไม่ดี มีความรู้สึกต่อต้าน มีความรู้สึกแย่ไปเลยนะ เหมือนจะเป็นไข้อะไรแบบนั้น ก็เป็นสิ่งที่หลายคนคงจะเคยประสบกันมานะครับ อันนี้เรื่องของคลื่นที่มันเป็นกุศล คลื่นที่เป็นอกุศลเนี่ย มันมีผลกระทบกับเราได้จริงๆ

แต่คลื่นภายนอกจริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ร้ายแรงสักเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่มันมาจากปัจจัยภายใน บางทีเราอยู่ในช่วงเวลา ที่เป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น หรือว่ารักษาศีลได้ดีแล้วเนี่ย เราก็จะลืมไปว่าเคยมีบางช่วง มีบางครั้งในชีวิตนะครับ ที่เราอาจจะคิดไม่ดี พูดไม่ดีมาบ้าง และการคิดไม่ดี พูดไม่ดีเนี่ย ไม่ใช่ว่ามันหายไปไหนนะ มันฝังอยู่ในส่วนลึก ที่เราฝังลืมไปแล้วนั่นแหละ แล้ววันดีคืนดีมันก็โผล่ขึ้นมา เมื่อได้จังหวะให้ผลนะครับ ก็เป็นไปได้

อย่างบางคนเนี่ยนะ ตอนเด็กๆชอบพูดครบสูตรเลยทั้งโกหก ปั้นน้ำเป็นตัว นินทา ส่อเสียด ยุแยงตะแคงรั่ว แล้วก็อาจจะเพ้อเจ้อ อาจจะชอบพูดทะลึ่ง ลามกอะไรต่างๆ แต่โตขึ้นมาเนี่ย เปลี่ยนไปเป็นคนละคน พูดดี เรียบร้อย แล้วก็มีความคิดอ่านอะไรมีมุมมองโลกที่ดีนะ แตกต่างไป ซึ่งทำให้ลืม ลืมไปสนิทเลย ว่าเราเคยเป็นเด็กอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปแล้ว แต่แม้เด็กคนนั้นจะหายไปจากโลกนี้แล้ว แต่กรรมหรือว่าสิ่งที่เคยทำมันยังไม่ได้หายไปไหน มันก็ตกค้างอยู่ วันดีคืนดี เมื่อถึงเวลาที่มันจะเผล็ดผล อย่างเราสมมตินะ เราเคยไปแกล้งพูดให้คนอื่นเค้ารู้สึกแย่ ทำให้คนอื่นเสียความรู้สึก ไปเฮิร์ตฟีลลิ่งเค้าอะไรแบบนั้น ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อยู่ๆก็อาจจะมีคำพูด หรือว่าคำด่าอะไรขึ้นมาในหัว ให้เราเกิดความรู้สึกรำคาญ หรือว่าเกิดความรู้สึกเหมือนกับแย่กับตัวเอง อะไรแบบนี้ได้นะครับ ก็สารพัดเหตุ สารพัดที่จะมีเงื่อนไขปัจจัย ทั้งภายนอกและภายในนะครับ

อันนี้ก็เคยคุยกันมาหลายครั้ง แต่ละครั้งผมก็จะหยิบยกเอาเรื่องที่มันแตกต่างกันไป มาพูดถึง มาอ้างอิงถึง แต่จุดใหญ่ใจความเนี่ย มันก็สรุปลงที่เดียวกันนั่นแหละคือ เป็นความปรุงแต่งจิตชั่วคราวที่เราไม่ได้เป็นคนตั้งใจขึ้นมาในปัจจุบันนี้

วิธีที่จะต้อนรับกับความคิดทำนองนี้นะ ถ้ายิ่งเราไปเกิดความไม่สบายใจกลัวบาป หรือว่ากลัวเดี๋ยวจะให้ผลร้ายอย่างโน้นอย่างนี้กับชีวิตนะ มันยิ่งไปกันใหญ่ มันจะยิ่งกลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้ความคิดทำนองนี้เนี่ย มันกลับเข้ามาอีก ทำนองเดียวกันกับที่เรามีความกดดันอยู่ ยิ่งไปกดตัวเองเพิ่มขึ้น มันก็ยิ่งอึดอัด มันก็ยิ่งหาทางระเบิดนะ แล้วในที่สุดมันก็ระเบิดปุ๊งออกมาจริงๆ ระเบิดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเอง หรือนึกว่าตัวเองเป็นประเภทนั้นจริงๆ คิดแบบนั้นจริงๆ ก็ยิ่งด่าทอตัวเองซ้ำเข้าไปอีกนะ มันก็เลยกลายเป็นคนประเภทนั้นเข้าไปจริงๆ

วิธีที่ถูกต้อง ที่จะต้อนรับความคิดแบบนี้ ตอบโต้กับความคิดแบบนี้ ก็คือให้ยอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้น อย่าไปกลัว ตราบใดที่เรามีความแน่ใจว่า เราไม่ได้เป็นคนเต็มใจคิด เราไม่ได้เป็นคนผลิต ไอ้ความคิดบ้าๆอะไรแบบนั้นขึ้นมา ก็ขอให้ทราบว่า ณ ปัจจุบันเราไม่ได้ก่อกรรม เราไม่ได้ก่อบาป มันเป็นแค่สะเก็ดความคิด ที่อาจจะมาจากภายนอก หรือว่าอาจจะมาจากอดีตที่ฝังลืมไปแล้วนะ แล้วมากระทบใจอันเป็นปัจจุบัน ขอเพียงใจที่มันเป็นปัจจุบันเนี่ยมีสติ สติอยู่กับฝ่ายกุศล เมื่อเกิดกุศลจิตขึ้นมา ความมืดที่เป็นอกุศลจิตมันก็อยู่ไม่ได้ มันก็ตั้งไม่ได้ แล้ววิธีที่จะเกิดสติก็คืออะไร ก็คือการยอมรับตามจริง ไม่ใช่ไปปฏิเสธความจริง จำไว้ว่าการปฏิเสธความจริงหรือฝืนต่อต้านความจริง บอกตัวเองว่ามันไม่เกิดขึ้นในหัวของเรา แบบนี้เราไม่ได้คิด เราไม่ได้เป็น อย่างนั้นคือการปฏิเสธความจริง ไม่ยอมรับความจริง มันจะทำให้อาการที่เป็นอกุศลยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก แต่ถ้าหากว่าเรามีอาการยอมรับตามจริง ตัวยอมรับตามจริงนั่นแหละคือสติ ตัวยอมรับตามจริงนั่นแหละ คือตัวความสว่างขึ้นมา ยอมรับตามจริงแล้วไง ยอมรับตามจริงแล้วเนี่ย มันก็จะค่อยๆเห็นตามจริงขึ้นมาว่า ไอ้ที่เป็นความคิดเลวๆผุดขึ้นมาในหัวเรา เราไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย มันผุดขึ้นมาเอง ตัวยอมรับตามจริงนี้แหละ มันก็จะเห็นเช่นกันว่า ที่ผุดขึ้นมาเอง เดี๋ยวหนึ่งมันก็หายไปเองเช่นกัน และมันจะกลับมาอีกเรื่อยๆ ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

ก็ไม่ต้องไปกังวลนะว่า เราจะคิดไปอย่างนี้ทั้งชีวิต ถ้ามันจะต้องคิดไปอย่างนี้ทั้งชีวิต เราก็จะดูว่ามันมาเอง แล้วไปเองไปทั้งชีวิตเช่นกัน วิธีโต้ตอบกับมันแบบนี้เนี่ย จะทำให้จิตเปรียบเสมือนกระดานลื่น พอมันลื่นผ่านมาแล้วมันก็ไหลผ่านไป ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าเรากลุ้มใจ ถ้าเราทรมานใจ นั่นน่ะเหมือนกับใจไปยึดมันไว้โดยไม่รู้ตัว ลองนึกถึงอาการที่เราทรมานใจนะ มันจะมีอาการบีบ มันจะมีอาการอัดแน่น มันจะมีอาการไม่ปล่อย อาการไม่ปล่อยนั่นแหละ ที่มันเหมือนกับตัวเลี้ยงไว้ ตัวทำให้ความคิดมันไม่ตายไป แล้วก็หลอกตัวเองว่า เนี่ยมันเป็นความคิดของเรา คือไอ้ความคิดเนี่ย ความยึดอาการคิดนั่นน่ะ ตัวนั้นแหละที่มันหลอกเราได้ว่ามันเป็นความคิดของเรา ทั้งๆที่ไม่ใช่ ถ้ายอมรับตามจริงไปตั้งแต่แรกซะ ว่ามันเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเกิดแล้วก็สังเกตเมื่อไหร่มันจะหายไป เอาแต่สังเกตอย่างเดียว ก็จะเห็นชัดๆเลยนะ หลังจากที่สังเกตไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งเนี่ย เห็นชัดๆเลยว่ามันมาเองแล้วก็ไปเอง โดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเราอยู่เลย

เนี่ยตัวนี้นะ สรุปง่ายๆก็คือว่า ๑) ยอมรับตามจริง ๒) ให้เห็นนะว่าถ้าเราไม่ไปทำอะไรกับมัน เดี๋ยวมันค่อยๆหายไปเอง แล้วในที่สุดมันก็จะมีสภาพเป็นอนัตตานะครับ มันมาอย่างอนัตตา แล้วก็ไปอย่างอนัตตา คือไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย



๒) ลูกที่ไม่รักแม่ ไม่ชอบนิสัยของแม่ แต่เต็มใจพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของดีๆให้ใช้ ให้เงิน ให้ของที่รู้ว่าแม่อยากได้ ส่วนในใจนั้นมักจะตำหนิการกระทำที่ไม่ดีของแม่บ่อยๆ แม้จะพยายามที่จะรักแม่ พยายามพูดดีกับแม่ แต่ก็ได้แค่ประเดี๋ยวเดียว คำถามคือมีกรรมกับแม่หรือเปล่า? ถ้าใช่จะแก้กรรมได้อย่างไร? สิ่งที่ให้แม่อย่างเต็มใจจะได้รับบุญหรือไม่? และมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้รักแม่ได้อย่างจริงใจได้บ้าง?

คนเราเนี่ยนะที่จะรักกัน ไม่ใช่รักกันเพราะว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นน้า เป็นป้า เป็นอา หรือว่าได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน ไม่ใช่ด้วยฐานะนะ ที่จะทำให้คนเราเกิดความรู้สึกชอบพอกัน หรือว่ารักใคร่กลมเกลียวกัน แต่เป็นสายสัมพันธ์ ความสัมพันธ์โดยตรงเลยว่า มีความรู้สึกทางใจ มีการคบหา มีการคิด มีการพูด มีการทำร่วมกันอย่างไร ตัวนั้นแหละ ที่จะเป็นตัวกำหนดให้เกิดความรู้สึกรักหรือไม่รัก ชอบหรือไม่ชอบ

แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสนะว่า บุคคลที่จะอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะฉันท์สามีภรรยา จะฉันท์เพื่อน จะฉันท์พ่อ ฉันท์แม่ จะจูนจิตเข้าหากัน ปรับจิตเข้าหากัน แล้วกลมกลืนสนิทเป็นอันเดียวกันได้เนี่ย ต้องด้วยการมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน แล้วก็มีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากศรัทธาไม่ตรงกันแล้วเนี่ย มันก็เหมือนกับเป็นคนละพวกกัน ไปคนละทาง คนนึงไปใต้ คนนึงไปเหนือ หรือถ้าหากว่ามีศีลไม่เสมอกัน คนนึงสะอาด คนนึงสกปรกเนี่ย ก็ลองนึกดูนะ คนนึงรักสะอาด คนนึงชอบสกปรก แบบนี้เนี่ยมันจะชอบกันได้มั้ย สนิทใจกันได้มั้ย กลมกลืนกันได้มั้ย หรือคนนึงมีน้ำใจ อีกคนแล้งน้ำใจอย่างยิ่ง หรือบางคนนะทุกอย่างมีพร้อมหมด แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ตามกันไม่ทัน แบบนี้มันก็เข้ากันไม่ได้สนิท นี่ตรงนี้นะเป็นแก่นหลักเลย ที่ว่าคนเราจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบกัน จะรู้สึกกลมกลืนเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่า มีฐานของนิสัยทางกรรมใกล้เคียงกันหรือเปล่า ฐานะอื่นไม่เกี่ยวเลย

แต่อย่างเป็นแม่เป็นลูกเนี่ย โดยธรรมชาตินะ คือมันจะมีความใกล้ชิดกันมา โดยเดิมเนี่ย ตอนเราอยู่ในท้องแม่ ๙ เดือน ไม่ใช่ว่าเราไม่รับรู้เกี่ยวกับความเป็นท่านนะ มันจะมีกระแสความเป็นท่านที่เราจำได้ ที่เรารู้สึกได้ว่านี่ให้ความอบอุ่นกับเรา ให้ที่อยู่ ให้ชีวิตกับเรานะครับ

ถ้าหากว่าโตขึ้นมาแล้วเลี้ยงกันมาดีๆ มีความรักใคร่ก็จะเกิดความสนิทสนม แล้วก็ผูกพันแน่นแฟ้น ลึกซึ้ง อันนี้เป็นเรื่องของแม่กับลูก ถ้าหากว่ายิ่งโตขึ้นมาเรายิ่งพบกับความแตกต่าง เรายิ่งพบกับความรู้สึกว่า ฐานของเราเป็นอย่างหนึ่ง ฐานของท่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง ความรู้สึกอบอุ่นแบบที่เคยอาศัยท้องท่านเกิด มันจะค่อยๆเลือนไป ความอบอุ่นอยากจะได้ความรัก ความเอาใจใส่จากอ้อมอกแม่ มันจะค่อยๆเลือนหายไป แล้วถูกกลบด้วยความรู้สึกทางใจ ประสบการณ์ตรงที่โตขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกไม่ชอบใจที่แม่เป็นแบบนี้ ที่พ่อเป็นแบบนั้น

เพราะฉะนั้นความรู้สึกรักหรือไม่รัก ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ มันไม่ได้ผิดนะ มันเป็นธรรมชาติของความรู้สึกอันเกิดจากการกระทบ กระทบหู กระทบตา แล้วเกิดปฏิกิริยาทางใจขึ้นมาเป็นชอบหรือไม่ชอบ ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับบุญ ไม่เกี่ยวกับบาป เรายังไม่ได้ทำบุญเรายังไม่ได้ทำบาปที่ตรงนั้น

แต่เราเริ่มทำบุญแล้ว ถ้าหากว่าเนี่ยนะอย่างในตัวคำถามเนี่ย พาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของดีๆให้ใช้ ให้เงิน แล้วก็ให้ของที่แม่อยากได้ด้วย อยากได้อะไรเอาให้หมด แต่ใจเนี่ยมันไม่ใช่ลูกที่รักแม่ ถามว่าตรงนี้เนี่ย เราได้ส่วนบุญ ได้ส่วนบาปยังไงบ้าง ได้ส่วนบุญตรงที่ตอบแทนท่าน ยิ่งถ้าหากพยายามทำให้ท่านเกิดความเข้าใจ เกิดความเลื่อมใสในธรรมะ นี่ยิ่งเรียกว่าเป็นการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อทีเดียว ที่ท่านให้ชีวิตเรามา นี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ อยากตอบแทนพ่อแม่เนี่ย บุญที่หนักที่สุด บุญที่มีค่าเสมอกันกับการให้ชีวิตเรามา ก็คือทำให้ท่านมีความศรัทธา มีความตั้งมั่นในทาน มีความตั้งมั่นในศีลนะครับ ในส่วนของบุญเนี่ยเราทำ ในส่วนของบาป มันเป็นแค่ความคิดทางใจที่ไม่ชอบใจ มันเกิดขึ้นตามธรรมดาของความรู้สึกที่ถูกกระทบหู กระทบตา เราไปบังคับมันไม่ได้ ถ้าใครมองว่านี่คือการอกตัญญูนะ แล้วยิ่งไปกลุ้มใจ ยิ่งไปพยายามบีบบังคับให้มันเกิดความชอบ เปลี่ยนจากชังเป็นชอบ เปลี่ยนจากไม่ชอบเป็นรักแบบนี้เนี่ย เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้ตัวเอง แล้วในที่สุดมันก็จะลงเอยเป็นความรู้สึกว่า รู้สึกไม่ดี รู้สึกเป็นลบเพิ่มขึ้นไปอีก

ขอให้จำไว้นะ ถ้ารู้สึกไม่ดีกับใคร แล้วไปแกล้งให้มันเป็นตรงกันข้าม กลับให้มันเป็น ๙๐ องศา หรือว่าเป็น ๑๘๐ องศานะ แทนที่มันจะดีได้อย่างใจ มันกลายเป็นยิ่งร้ายหนักเข้าไปใหญ่ วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าไปพยายามที่จะรัก อย่าไปพยายามที่จะชอบ ในสิ่งที่ใจมันไม่ได้ชอบจริงๆ มันไม่ได้รักจริงๆ เราทำหน้าที่ของลูกไป แค่นั้นน่ะเพียงพออยู่แล้ว และให้ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดจากการให้ ที่เกิดจากการผูกพัน ไปต่างประเทศด้วยกัน หรือว่าตามใจท่านแล้วเห็นท่านดีใจ ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกดีๆใดขึ้น ก็ให้รู้สึกถึงมันไปตามจริงว่า เนี่ยเป็นความรู้สึกดีอันเกิดจากการให้ เป็นความรู้สึกดีอันเกิดจากการทำให้ท่านมีความสุข แล้วยิ่งถ้าหากว่าค่อยๆป้อนนะ อาจจะหาซีดีธรรมะให้ฟัง หรือว่าหาหนังสือธรรมะให้อ่าน หรือว่าพูดคุยกับท่านโดยตรงเลย อันนี้เจ๋งที่สุด คุยกับท่านตรงๆเกี่ยวกับเรื่องดีๆ เกี่ยวกับเรื่องที่มันจรรโลงใจ เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำให้ท่านเกิดกุศลจิต ความรู้สึกโดยรวมทั้งหมดที่มันเป็นไปในทางบวก ไม่ได้ฝืนใจ ความรู้สึกดีอันเกิดจากการให้ ความรู้สึกผูกพัน อันเกิดจากการไปเที่ยวด้วยกันไกลๆ ความรู้สึกอันสว่างไสวนะ อันเกิดจากการที่เราให้ธรรมะกับท่าน หรือชวนท่านคุยธรรมะด้วยกัน เหล่านั้นมันจะค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เป็นความรู้สึกดีๆ เป็นตรงกันข้ามกับความรู้สึกชิงชัง คืออันนี้ไม่ได้บอกว่าชิงชังคุณแม่นะ แต่หมายความว่า ที่ความรู้สึกเป็นลบเนี่ย ความรู้สึกไม่ชอบใจ อันนี้ผมพูดเป็นภาษาของใจนะ คือเวลามีความปรุงแต่งทางใจ เรามักจะเรียกกันว่า เป็นชอบ หรือเป็นชังนะครับ

ถ้าหากว่าเราสร้างปัจจัยทางความรู้สึกให้มันสว่าง ให้มันดี ให้มันเป็นบวกมากๆเข้าไว้ แล้วก็ไม่ไปฝืนใจ ไม่ไปหลอกตัวเอง ไม่พยายามไปกลับลำความรู้สึกของตัวเองเนี่ย ทั้งๆที่มันกลับกันไม่ได้ ในที่สุดแล้วเราก็จะไม่ต้องฝืนใจ เราจะไม่ต้องมีอารมณ์กดดันอยู่ข้างใน ไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะเป็นคนบาปหรือเปล่านะ ไม่ชอบแม่ตัวเอง ในที่สุดมันกลายเป็นความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกดีๆนั่นแหละ ที่จะค่อยๆก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะไปไม่ถึงเพดานของความรัก ไปไม่ถึงเพดานของความรู้สึกว่า เออเนี่ยพ้นจากความรู้สึกไม่ชอบใจแล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะมีความรู้สึกที่เป็นบวกกับแม่นะครับ อันนี้ก็จะเป็นการทำบุญทางใจต่อท่าน

แล้วก็อย่างหนึ่งนะ คืออันนี้พูดเลยไปถึงทุกๆคน ที่อาจจะมีประเด็นปัญหาใกล้เคียงกัน หลายๆคนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันเนี่ย เกลียดพ่อ เกลียดแม่ นี่ใช้คำนี้เพราะว่าได้ยินมากับหูหลายครั้งนะครับ เพราะว่าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูเลย ทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วก็สายตาของพ่อของแม่เนี่ย ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นพ่อเป็นแม่กัน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันนะ มันเหมือนกับเป็นคนอื่นคนไกล แล้วก็เหมือนกับเนี่ย เห็นเลย รู้สึกเลยว่ามีตัวเองขึ้นมาเนี่ยมันเป็นภาระ อยากให้หายไปให้พ้นๆ หรือว่าบางทีมีการพูดแดกดัน บางทีเนี่ยถึงขั้นที่ว่าพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ไอ้มารหัวขนอะไรแบบนี้ ก็แทบจะไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีพ่อมีแม่เลย

อันนี้คือผมเห็นใจ แล้วก็ยุคนี้ สมัยนี้เนี่ยคือมันบีบ บีบคั้นนะ คือเวลาของคนทำงาน มันแทบจะไม่เหลือเผื่อแผ่ไปให้ลูกนะครับ แล้วก็บางทีเนี่ยเรื่องที่ว่านะ คนสมัยนี้คือจะชอบอิสระไง แล้วก็จะเหมือนกับอยากมีเวลาส่วนตัวเอาไปเล่นเฟสบุ๊ค เอาไปเล่นโน่น นี่ นั่น แล้วก็รู้สึกว่าจะต้องมาเสียสละให้กับลูก ซึ่งมันรู้สึกไม่พร้อม บางทีเนี่ยก็จะเบื่อกันเอง สามี ภรรยารู้สึกว่าอยู่ไปด้วยกัน ไม่รู้มันไม่มีจุดประสงค์อะไรดีๆเลย มันมีแต่ความรู้สึกจำทนเพื่อลูก ลูกเลยกลายเป็นเหมือนกับแพะรับบาปนะ ก็อะไรๆมันก็ไปโมโหที่ลูก แล้วก็ไปลงที่ลูกกัน

ตรงนี้คือความรู้สึกแบบของพ่อของแม่เนี่ย มันก็คงแก้ยากนะ แต่ว่าความรู้สึกของลูก ก็มักจะถามกันว่าจะทำยังไง ถ้าเนี่ยมันเหมือนคนบาป มันเหมือนเกลียดพ่อ เกลียดแม่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอมาสนใจธรรมะแล้วก็เกิดความรู้สึกเหมือนกับ โอ้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยนะกับไอ้ชีวิตแบบนี้ มีวิธีครับ ไม่ใช่เรื่องที่จะเหลือบ่ากว่าแรง

ถ้าหากว่าเรามีความเคารพ มีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆแล้วก็ศึกษาให้เข้าใจนะครับ ว่าที่เกิดมาเป็นอย่างนี้เพราะอะไร มาอยู่กับพ่อกับแม่คู่หนึ่งๆ มันไม่ใช่ความบังเอิญนะ และถ้าหากว่าเรามองว่านี่คือเกมกรรม เราจะแก้เกมอย่างไร ถ้ามองกันอย่างนี้นะ แล้วก็มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจที่จะเอาชนะเกมตรงนี้เนี่ย ก็ในที่สุดนะ ความรู้สึกเกลียดมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปด้วยความเข้าใจ คือเข้าใจว่าเราเนี่ยไม่ใช่เริ่มต้นนับ ๑ กันที่ท้องแม่ แต่ว่าการเริ่มต้นนับ ๑ เนี่ย มันมาจากความไม่รู้ ทุกคนไม่รู้เหมือนกันหมด ทุกคนเนี่ยนะ อยู่ในวังวนของการเล่นเกมที่ไม่รู้กติกา

แล้วถ้าหากว่าเรามีความสามารถที่จะเข้าใจได้นะ สามารถที่จะเห็นโพสิชัน ของตัวเองนะ ว่าอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่มันไม่สามารถที่จะมีความสุขกับฐานะของลูกได้ เราก็อาจจะเริ่มด้วยวิธีที่เผื่อแผ่ความสามารถ หรือว่าความดีงาม หรือว่าคุณสมบัติอะไรก็แล้วแต่ ที่มีอยู่ในชีวิตให้กับคนอื่น ทำให้คนอื่นมีความสุข รู้จักทำให้คนอื่นมีความสุขนะครับ แล้วก็ค่อยๆมอง ค่อยๆเห็นนะว่า ความสุขที่คนอื่นได้รับจากเรา จริงๆแล้วมันก็คือสิ่งที่เราต้องการจากพ่อแม่นั่นแหละ ความสุขที่คนๆหนึ่งจะให้กับอีกคนหนึ่งเนี่ยนะ มันเป็นสิ่งที่ลูกเรียกร้องจากพ่อแม่มากที่สุด ทีนี้พอเรารู้จักที่จะให้กับคนอื่น สามารถทำให้คนอื่นมีความสุขได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะค่อยๆเห็นใจพ่อแม่มากขึ้น แล้วก็มีกะจิตกะใจ ขนาดคนอื่นนอกบ้านเรายังให้เค้าได้ แล้วกับพ่อกับแม่ทำไมเราจะให้อภัยไม่ได้ ถ้าหากว่าให้อภัยได้ แล้วก็มีความรู้สึกดีๆ คือมันเหมือนกับมองว่าพวกท่านเองก็ไม่รู้ พวกท่านเองก็ลำบากนะในการเกิดมา จะในฐานะสามีภรรยา หรือว่าจะในฐานะบิดามารดาก็ตามเนี่ย ทุกคนมีความทุกข์เป็นของตัวเอง แล้วถ้าหากว่าเราช่วยให้พวกท่านมีความสุขได้ ทั้งๆที่ท่านไม่เคยมาเหลียวแลเรา ทั้งๆที่ท่านไม่เคยมาไยดีเรา เราจะรู้สึกว่ามันไม่ต่างกับที่เราไปทำให้คนอื่นที่ไม่ต้องรู้จักกัน ไม่ต้องให้ เราก็ให้ ไม่ต้องช่วย เราก็ช่วยอย่างนี้นะครับ ความรู้สึกดีๆที่มันเกิดขึ้น มันจะสามารถลบล้างปมด้อย หรือว่าความรู้สึกเกลียดชัง หรือว่าความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาปได้ จิตใจที่ผ่องใสขึ้นมา ด้วยการสามารถช่วยคนอื่น สามารถให้อภัยพ่อแม่ตัวเองได้ ในที่สุดนะ มันจะทำให้ชีวิตของเรามีความเจริญรุ่งเรือง อย่างน้อยที่สุดมีความสุขอยู่กับตัวเองนะ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องมีปมด้อยไปตลอดชีวิต



๓) คุณแม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าต่างๆ ตามคติจีน ปกติจะเซ่นไหว้เจ้าเป็นประจำ แต่ก็ทำบุญกับพระสงฆ์ด้วยไม่เคยขาด แต่ระยะหลังมีเพื่อนชวนไปดูดวงกับร่างทรง และคุณแม่ก็เชื่อมาก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร?

บางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเชื่อ เราไปล้มล้าง หรือว่าเราไปดึงแขนดึงขา ให้เค้าหยุดยั้งหรือว่าจะไปกั้นไปห้ามอะไรเนี่ย มันคงยาก เพราะว่าใจคนเนี่ย มันกั้นยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนะครับ ถ้าหากว่าจะแล่นไปแล้ว ถ้าหากว่าจะไหลไปแล้วเนี่ย เราไม่มีทางไปควบคุมเลย ทางเดียวที่เราจะทำในส่วนของตัวเองก็คือ หยิบยื่นอะไรที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิ อะไรที่มันถูกอะไรที่มันควร อะไรที่มันเป็นไปในทางเหตุทางผล ในทางที่จะทำให้เชื่อเรื่องกรรม เรื่องวิบาก อย่างถูกต้องนะครับ

ถ้าหากว่าเราเต็มที่แล้ว แล้วมันช่วยไม่ได้ หลายๆครั้งนะ คือก็ต้องจำเป็นนะครับ ที่จะต้องทำใจ ทำใจเป็นอุเบกขา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านก็ช่วยพระญาติของท่านไม่ได้นะ ในหลายๆกรณีนะครับ ต้องไหลลงนรกกัน ต้องรบราฆ่าฟันกันอย่างนี้เนี่ย แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องทำใจเป็นอุเบกขานะ แต่ของแม่เราเอาแค่ตรงที่เชื่อเรื่องเทพ เรื่องคนทรงยังไม่ถึงกับตัดสินว่าท่านทำบาป ทำกรรมอะไร เราก็อาจจะเออออห่อหมกไปกับท่าน แล้วก็ค่อยๆคุยกับท่าน คือเข้าไปเป็นพวกเดียวกับท่านก่อน อย่าแยกหรือว่าตั้งป้อมเป็นต่างหาก เป็นฝ่ายตรงข้ามกัน เป็นปฏิปักษ์กัน เดี๋ยวมันจะคุยกันไม่ได้เลย คือเออๆออๆไป แล้วก็ฟังดูว่าท่านพูดอะไร ให้ท่านเล่าให้ฟังนะ แล้วเวลาเราจะแย้ง หรือว่าเราจะเปลี่ยนใจท่านเนี่ย เอาจากจุดที่เล็กน้อยที่สุด ถ้าทำให้ท่านไม่รู้สึกเลย ว่าเรากำลังขัดแย้งกับท่านอยู่ แล้วค่อยๆเขยิบขึ้นมาทีละนิดๆ อันนี้มันเป็นศิลปะนะ แต่หลักการคร่าวๆก็คือ เป็นพวกเดียวกันกับท่านก่อน ให้ท่านรู้สึกว่าเราคุยกับท่านได้ แล้วค่อยๆแทรก ค่อยๆซึมอะไรดีๆเข้าไป


เอาละครับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น