วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๑๑ / วันที่ ๑๓ ก.พ. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และเพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ

วันก่อนผมพูดเรื่อง ‘การปรุงแต่งทางจิต’ โดยเอาเพลง ‘ความอบอุ่นกลางสายฝน’ (Warmth in the Cold Rain) มาเป็นตัวตั้ง ก็ไม่นึกว่าหลายคนจะชอบเพลงนี้มาก แต่ก็บ่นว่าฟังจาก http://www.spreaker.com แล้วเสียงแตก อันนั้นก็เป็นเพราะทาง Spreaker.com เค้าไปบีบอัดเสียงอีกทีนะครับ พอถูกถามหาไฟล์ต้นฉบับจากหลายคนเข้า ผมก็เลยคิดว่าอัพโหลดขึ้นไปไว้ให้เอามาฟังกันเลยดีกว่านะครับ แล้วก็อย่างที่ทราบถ้าติดตามเพจ http://www.facebook.com/AskDungtrin ในช่วงเช้านี้นะครับ ก็คงเห็นผมให้ลิงก์ไว้แล้ว ไปฟังกันได้จาก http://soundcloud.com/dungtrin/warmth-in-the-cold-rain ลิงก์ยังอยู่ที่สเตตัสปัจจุบันของเพจ แต่ผมเองก็เพิ่งทราบว่าทาง SoundCloud.com เนี่ย มีเงื่อนไขคือให้ฟังได้ไม่จำกัด แต่อนุญาตให้ดาวน์โหลดได้เพียงไม่เกินร้อยครั้งนะครับสำหรับทะเบียนฟรี

เดิมผมจะทำอัลบั้มเพลงบรรเลงแบบที่จะแก้ปัญหาพื้นฐานของคนเมืองทั่วไปคือเครียด จิตตก หดหู่ ฟุ้งซ่าน โดยอาศัยความรู้บวกกับจินตนาการทางดนตรีนะครับมาสร้างเสียงที่สดใส ตลอดจนทำเสียงที่ไปจัดระเบียบคลื่นสมองเสียใหม่ ให้มันมีความถี่แบบที่ใกล้เคียงกับสมาธิ ซึ่งแนวดนตรีประเภทนี้เนี่ย ปัจจุบันก็นิยมกันมากเลย เพียงแต่คนส่วนใหญ่ฟังแล้วจะทนไม่ไหว เพราะว่าดนตรีพวกนี้จะออกแนวแบบเป็นเสียงซ้ำๆ ไม่ใช่ลักษณะของดนตรีที่ฟังเพลินอะน่ะครับ ผมก็เลยตั้งใจจะทำแบบที่เป็นดนตรีด้วย ขณะเดียวกันก็ไปสร้างจินตภาพเชิงบวก เพื่อแก้เครียดแก้หดหู่แบบง่ายๆ เมื่อฟังไปหลายเพลงเข้านะครับ แต่โครงการเกี่ยวกับดนตรีบำบัดเนี่ย ผมเอาไว้คิวท้ายๆนะครับ คือพอเบื่องานเขียนค่อยหันมาทำซักช่วงนึง เลยไปไม่ค่อยถึงไหนนะครับ อย่างเพลง ‘ความอบอุ่นกลางสายฝน’ นี่ ก็ดองทิ้งไว้นานแล้ว ไม่ได้เอามาปรับแต่งให้ฟังดูดีกว่าที่ได้ยินกัน

เอาละครับ! พูดไปเรื่อยๆเพื่อรอให้เสียงไปถึงเครื่องของคุณๆ มาดูคำถามแรกกันเลยนะครับ… ก็ทักทายกับทุกท่านที่ได้เข้ามาที่หน้าวอลล์ของ http://www.facebook.com/HowfarBooks แล้ว ก็ทักทายกับทุกคนนะครับ



๑) คนที่โดนทำร้ายไม่ว่าจะร้ายแรงขนาดไหน อย่างมากแค่โกรธ แค่โมโห แล้วก็ไม่เคยเกลียดใคร จิตแบบนี้ได้มาอย่างไร?

ถ้ามีความตั้งมั่น คือ เวลาพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเส้นทางหรือว่านิสัยของคน อย่างคนที่ถือว่าได้ที่พึ่งให้ตัวเองแล้วเนี่ย ท่านจะนิยามจากการที่ทำทานแล้วก็รักษาศีล ตลอดจนมีศรัทธาในทางที่ถูกในแบบที่ตั้งมั่น คือคนส่วนใหญ่เนี่ย จะเข้าใจกันในแง่ที่ว่า ทำบุญมากๆ… ทำบุญยังไง? ก็คงให้อะไรใครเยอะๆมั้ง?

แต่จริงๆแล้วระดับของบุญเนี่ย การรักษาศีลมันยิ่งกว่า มันเหนือกว่า แล้วการทำบุญของแต่ละคนเนี่ย ก็ไม่สม่ำเสมอเหมือนกัน ไม่เท่ากัน

บางคนช่วงต้นชีวิตทำบุญเยอะเลย แต่กลางชีวิตมาเริ่มเข้าไปปะปนกับผู้คนที่ชวนให้ดิ่งลงเหว ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงนิสัย จากเคยมีน้ำใจมากเป็นคนมีจิตใจขี้เหนียว หรือว่าอาจจะไปฉกฉวยหาโอกาสหาผลประโยชน์จากคนอื่นเลยด้วยซ้ำ

หรือว่าจากที่เคยรักษาศีล กลัวมากๆแม้กระทั่งยุงก็ไม่กล้าตบ แต่กลางชีวิตอาจจะถึงขั้นที่ว่า สั่งฆ่าคนได้ อย่างนี้ก็มี

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเลยตรัสว่า ผู้ที่ได้ที่พึ่งจริงๆให้กับตัวเอง
หมายถึงผู้ที่มี ‘ทาน’ ‘ศีล’ แล้วก็ ‘ศรัทธา’ ที่ตั้งมั่นแล้ว

ทั้งชีวิตเนี่ยนะ พิสูจน์กันได้ด้วยตรงที่ว่า ‘ต่อให้คบใคร เจอเรื่องยั่วยุแค่ไหน ก็จะไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนจากความตั้งใจที่มั่นคง’

แล้วความตั้งใจที่มั่นคง ก็มักได้มาจากแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
จะเป็นเพราะว่าพบพระพุทธเจ้า หรือได้พ่อแม่ที่ดี ที่ประเสริฐ อย่างไรก็แล้วแต่

เอาเป็นว่า ถ้าหากใครสามารถที่จะมีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ตลอดชีวิต สามารถรักษาศีลได้ตลอดชีวิตไม่ว่าจะเจอเรื่องยั่วยุขนาดไหน แล้วก็มีศรัทธาที่จะดำเนินรอยตามพระบาทของศาสดา แบบนี้ก็เรียกว่าเป็น ‘ผู้มีที่พึ่งที่แน่นอนให้ตัวเอง’

ผลเป็นอย่างไร? ผลคือว่า ถ้าเกิดชาติไหน เกิดชาติถัดๆมา จะเกิดในตระกูลที่สูง

คือไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยล้นฟ้านะตระกูลสูงเนี่ย ตระกูลที่ร่ำรวยล้นฟ้าต่างหากที่บางทีไม่ค่อยจะมีน้ำใจกัน ไม่ค่อยจะมีศีลกัน แต่ตระกูลสูงเนี่ย โดยนิยาม ก็หมายถึงผู้มีใจสูงจริงๆ มีความตั้งมั่นอยู่กับการมีใจสูง
คือมีน้ำใจคิดสละให้คนอื่น แล้วน้ำใจคิดสละเนี่ย กับการให้อภัยเป็นทาน ไม่อยากจะถือสาหาความ ไม่อยากจะเกลียดใครตอบ ไม่อยากที่จะทำผิดคิดร้าย ไม่อยากที่จะละเมิดศีลข้อไหนๆ อันนี้ก็เป็นผลมาจากการสั่งสมบุญไว้ดีแล้ว บุญในที่นี้ก็หมายถึงทาน ศีล และศรัทธา ตั้งมั่นดีแล้ว เกิดชาติใหม่ก็จะยังมีความมั่นคงอยู่ แล้วถ้าหากว่าต่อยอด พัฒนาให้เกิดยิ่งๆขึ้นไป ทั้งในแง่ของน้ำใจ ทั้งในแง่ของความสะอาดทางใจ แล้วก็เรื่องของการเจริญสติเนี่ยนะ พัฒนาจากฐานที่ตั้งมั่นอยู่แล้วเดิม
ให้ต่อยอดสูงขึ้นไปอีก ตราบเท่าเข้าถึงนิพพาน ก็เป็นเหตุเป็นผลว่าทำไม ใจของคนบางคน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ต้องมีใครเสี้ยมสอน ก็จะสามารถที่จะไม่ถือโกรธ หรือโกรธนะ โกรธมี โกรธเป็นวูบๆวาบๆ เหมือนไฟลุกโพลงขึ้นมาแล้วก็มอดดับหายไป ตั้งใจว่า “โอย เนี่ยไม่ต้องมาญาติดีกันอีกแล้ว” แต่พอเค้ามาพูดดีหน่อย ใจอ่อน แล้วก็ให้อภัยเค้าได้ อย่างนี้แหละ ก็ถือว่าเป็นร่องรอยเป็นหลักฐานของจิตที่สั่งสมในเรื่องของ ‘อภัยทาน’ มาโดยมีความ ‘ตั้งมั่น’ แล้ว



๒) เด็ก ๑ ขวบ จะหัดให้รู้และคุ้นเคยกับธรรมได้โดยวิธีใดบ้าง?

สำหรับเด็กเนี่ยนะ เท่าที่สังเกตมา จริงๆไม่ว่าจะเด็กชาติไหนภาษาไหน
จะมีความรับรู้ทางหูทางเสียง ได้มากกว่าทางอื่นๆ อันนี้เท่าที่สังเกตเอานะ ไม่ทราบว่าจะไปขัดแย้งกับงานวิจัยที่ไหนรึเปล่า

อย่างเอาง่ายๆ ตอนอยู่ในท้องเนี่ย เค้าบอกเลยนะว่า ให้พูดกับลูกให้คุยกับลูก ตั้งแต่หกเจ็ดเดือนที่ประสาทหูเค้าพัฒนาแล้วเนี่ย มีงานวิจัยออกมาว่า ถ้าหากให้ฟังเสียงเพลงคลาสสิกบ่อยๆเลยนะ คือ ถ้ายิ่งทุกคืนทุกเช้าได้เนี่ย มีวิจัยบอกว่า เด็กคลอดออกมาแล้ว จะคลอดออกมาหน้ายิ้ม แล้วมันก็ท่าจะมีแนวโน้มออกมาอย่างนั้นจริงๆด้วย

ทีนี้ถ้าหากว่า คิดในแง่ของธรรมะ ถ้าให้เค้าฟังซีดีของครูบาอาจารย์ที่เสียงท่านมีความอัศจรรย์ในเรื่องของการเทศน์ เสียงมีความสว่าง เสียงมีความบริสุทธิ์ ที่ผมแนะนำเป็นประจำเนี่ย ก็หลวงพ่อพุธ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) อันนี้คงทราบกันอยู่แล้วว่า ผมก็ไปบวชกับหลวงพ่อพุธ
และมีความซาบซึ้งกับอัศจรรย์ทางเสียงของท่านมาก อย่างเสียงของหลวงปู่เทสก์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) เนี่ย ก็เป็นเสียงที่บริสุทธิ์มากๆ ถ้าหากว่าเราเปิดให้เด็กในท้องฟังตั้งแต่แรกเลย ก็จะมีผลนะ เพียงแต่ว่าคงยังไม่มีการทำวิจัยกันจริงจังเหมือนเพลงคลาสสิก เพราะเพลงคลาสสิกเนี่ยขายได้ แต่ว่าเสียงธรรมะเนี่ย ไม่ได้แพร่หลายซักเท่าไหร่ อย่างมากก็คงยังฟังกันในประเทศไทย ส่วนเพลงคลาสสิกเนี่ยฟังกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าแปลกใจถ้าหากจะมีการทุ่มทุนทำการวิจัยกันแล้วก็แสดงหลักฐานเป็นเปเปอร์ออกมาว่ามันได้ผลจริงๆ

ก็ถ้าหากเราทำให้เด็กคุ้นกับเสียงของธรรมะตั้งแต่อยู่ในท้อง แล้วออกมายังทำให้คุ้นกับเสียงเย็นๆของพ่อแม่ อันนี้ก็จะมีผลมาก

บางคนเนี่ยนะ ใช้อุบายวิธีอะไรที่มันดูวิจิตรพิสดารมาก หรือว่าดูเท่ห์มาก หรือ… จริงๆแล้วผมขอบอกเลยว่า เทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาจิตใจของเด็กให้เป็นไปในทางธรรมขึ้นมาให้มาในทางสว่าง ไม่มีอะไรล้ำสมัยเกินไปกว่าเสียงของพ่อแม่ที่เป็นธรรมอีกแล้ว ถ้าหากคุณพูดคุยกันเย็นๆให้ลูกได้ยิน นั่นแหละ มันคือการทำให้เค้าได้รับธรรมะ ตั้งแต่ยังไม่รู้ความแล้ว

หรือถ้าคุณรู้ตัวว่า (อันนี้ไม่ได้บอกว่าใครนะ) ถ้าหากเกิดความรู้สึกอยากจะนินทาว่าร้ายใคร หรือว่านึกอยากจะขึ้นเสียงกันเอง ใส่กันเอง ก็สะกิดๆกันหน่อย คือปวารณาตัวไว้ว่า “นี่จะทำเพื่อลูกนะ!” อย่าให้เค้าได้ยินอะไรที่จะไปก่อคลื่นความรุ่มร้อนขึ้นในจิตของเค้า เพราะเด็กเนี่ยไวกับเสียงมากๆเลย เสียงนินทาว่าร้ายเป็นเสียงที่มีความร้ายกาจมาก เสียงที่พ่อแม่ด่าทอกันหรือว่าทะเลาะกันเนี่ย เป็นเสียงที่น่ากลัวมาก น่าหวั่นไหวมาก แต่ถ้าเค้าได้ยินแต่เสียงที่ดีๆ เสียงชื่นชมคนอื่น เสียงที่เป็นพวกเดียวกัน มีความสามัคคีมีความปรองดองกัน ก็จะทำให้ลูกยิ่งอบอุ่นมาก ยิ่งถ้าหากพ่อแม่คุยธรรมะกันเองนะ พูดง่ายๆว่าไปอ้างอิงคำสอนครูบาอาจารย์มา หรือว่าพูดถึงในลักษณะที่เรียกว่า ‘สนทนาธรรม’ เนี่ย พูดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดในเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล คลื่นเสียงที่เป็นเหตุเป็นผลและมีความเย็นเป็นพวกเดียวกัน จะเข้าสู่โสตประสาทของลูกน้อย แล้วก็ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดความสว่าง เราเกิดมาในโลกที่อบอุ่น

ถ้าหากว่าพ่อแม่เข้าใจหลักการตรงนี้ แล้วก็นำไปปฏิบัติจริงๆต่อหน้าลูก ให้ลูกได้ยินอยู่ทุกวันทุกคืน ขอให้รู้เถอะว่า เด็กคนนั้นมีบุญมหาศาลเลย เป็นเด็กที่มีบุญมากๆ เพราะมันเป็นไปได้ยากที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่มีแต่พูดดีกับดี ทำแต่ภาพที่มีแต่ความน่าชื่นใจให้ลูกเห็น เป็นไปได้ยากมาก ถ้าหากว่าคุณมีความเต็มใจ คุณและคู่ของคุณมีความเต็มใจ มีความพร้อมใจ มีความสมัครสมานสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ที่จะทำให้ลูกเห็น แล้วก็ได้ยินแต่อะไรที่มันเป็นธรรมะ นั่นแหละ เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแล้ว เกินกว่าจะไปเปิดเพลงคลาสสิก เกินกว่าจะไปเอาลูกเข้าไปวัดทุกวันซะอีก อันนี้ยืนยันเลยนะ ดีกว่าเอาลูกเข้าวัดทุกวัน เพราะว่าเอาลูกเข้าวัดเนี่ย เราไม่สามารถประกันได้ว่าเด็กจะมองอะไร จะฟังอะไร แต่อยู่ในบ้านเนี่ย ประกันได้เลยว่าเด็กจะพยายามฟังว่า พ่อแม่มาคุยกับตัวเองว่าอย่างไร แล้วพ่อแม่คุยกันเองอย่างไร



๓) พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์ ช่วยสอนวิธีรับมือกับความผิดหวังจากคนที่เราแอบปลื้มได้ไหมคะ? มีแววเศร้าใจพรุ่งนี้แน่นอน

เอาละสิ วันแห่งความสุขของคนอื่น มันเป็นวันเศร้าของเรา เป็นวันแอบเศร้าของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้เลย

ไอ้ที่บางทีควงคู่กันหวานแหววเนี่ย เค้าไม่อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริง บางคู่เท่าที่รู้เลย จับคู่กันเฉพาะกิจ เพื่อไม่ให้อายเพื่อน เพื่อไม่ต้องมีตำแหน่งว่างงานจากการเดินไปไหนกับคนที่เป็นคนรู้ใจ หรือว่าเป็นคนที่เอาไปนำเสนอให้เพื่อนเห็นว่าเนี่ยเป็นแฟนฉัน จริงๆโลกนี้เนี่ย มันคือโรงละครโรงใหญ่ ขอให้มองเถอะว่า ทำความเข้าใจไปเถอะว่า เค้าไม่ได้ควงกันมีความสุข เค้าควงกันมีความทุกข์ ทุกข์แบบคนมีคู่ แต่เราแอบเศร้าแอบเหงาเนี่ยนะ จริงๆแล้วเนี่ยมันประกันได้ว่าไม่ถูกใครทำร้ายในวันวาเลนไทน์

ในวันวาเลนไทน์เนี่ย เท่าที่รู้ บางทีก็มี… คือไม่ใช่มาเพิ่งสมัยนี้นะ มันตั้งแต่ตอนผมเป็นวัยรุ่น ตั้งแต่สมัยเมื่อสามสิบปีที่แล้วนะ มันก็เป็นคืนวันเสียตัว แล้วไม่ใช่คืนวันที่จะขอกันดีๆนะ บางทีก็ปล้ำเอา หรือว่าหลอกลวงไปที่ไหนๆบอกว่า “เออ! ไปเที่ยวกันหน่อย เดี๋ยวจะไปส่งบ้าน” ก็นั่นแหละ กลับเช้าเลย แล้วก็กลับไปก็ตาบวม ไม่นึกไม่ฝันว่าคนที่จะดีกับเรา กลายเป็นโจรโฉด คร่าพรหมจรรย์กันไป อย่ามองว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความสุขความสมหวังทางความรัก ขอให้มองความจริงเถอะว่า คนบนโลกนี้มีน้อยคู่นะครับ มีน้อยคนนักที่มีความสมหวังในความรัก เพราะว่าปัจจัยทางความรักไม่ได้มาหวานแหววกันในวันเฉพาะกิจ วันที่ ๑๔ กุมภาฯเนี่ย มันไม่มีทางเลยที่จะทำให้คนทั้งโลกเกิดความรักที่แท้จริงต่อกันได้ ถ้าหากว่าไม่มีพื้นฐานของความรัก ไม่มีพื้นฐานของความสุขที่จะอยู่ด้วยกันก่อนหน้าวันที่ ๑๔ นะครับ แต่ของเรา
เรามีพื้นฐานของความสามารถที่จะเจริญสติ มีความสามารถที่จะอ่านฟังธรรมะ สามารถที่จะมีความสุขอยู่กับตัวเอง สามารถยิ้มอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องฝืนแสร้ง ถ้าหากว่าเราเห็นความสงบเราเห็นความสุขอันเกิดจากการอยู่คนเดียวในวันวาเลนไทน์แล้ว ขอให้วันนั้นเป็นวันที่คุณรักตัวเอง และก็มีความสุขอยู่กับการได้อยู่กับธรรมะที่วิเวก ไม่เป็นทุกข์จากการมาเสแสร้งแกล้งรักกันเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในโลก

คู่รักที่รักกันจริงๆมีนะ ผมรู้จักหลายคู่ ส่วนใหญ่ไม่ได้รักกันมาแต่อ้อนแต่ออก ส่วนใหญ่แล้วเค้าผ่านความทุกข์ คู่รักที่ประสบความสำเร็จเนี่ย ผมบอกเลยว่าเกิดจากการที่สามารถผ่านความทุกข์ร่วมกันมาได้ ไม่ใช่เกิดจากการที่มีบุญเก่าเนี่ยหนุนให้แต่สุขกับสุขตั้งแต่แรกจนกระทั่งวันตาย มันไม่ใช่ คนที่เค้ามีความสุขกันจริงๆเนี่ย จะวันที่ ๑๓, ๑๔ หรือ ๑๕ เค้าก็มีความสามารถที่จะผ่านปัญหาในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นไปได้ เค้าต้องใช้ความสามารถในการต้องผ่านด่านอุปสรรค แต่เราไม่ต้องผ่านด่านอุปสรรคแบบนั้น คิดในแง่ดีก็เหมือนกับเราไม่ต้องเหนื่อยเหมือนเค้านะ



๔) ถ้าเราไม่บริสุทธิ์ หมายถึงผ่านผู้หญิงมาแล้ว จะบวชให้พ่อแม่ พ่อแม่จะได้บุญเต็มที่ไหม?

การบวชเนี่ย เราถือเอาเฉพาะความตั้งใจก่อนบวช ถ้าหากว่าคุณมีความสามารถที่จะถือศีลแบบพระได้ หมายถึงว่าถือวินัยของพระได้
แล้วก็มีความรู้มากพอที่จะเจริญสติในขณะห่มผ้าเหลืองได้ ตรงนั้นแหละ พอคุณบวชเข้าไปแล้วคุณทำตามความตั้งใจ ทำตามความรู้และประสบการณ์ที่พูดง่ายๆว่า เป็นเสมือนพระก่อนที่จะบวชได้ อันนั้นแหละได้บุญเต็มที่

ถ้าหากว่าพ่อแม่ของคุณเห็นภาพลูกชายที่มีจิตใจว่างจากกิเลส ว่างจากความโลภ โกรธ หลง ตามแบบชาวบ้านธรรมดาได้แล้วเนี่ย เห็นลูกชายห่มผ้าเหลืองด้วยความผ่องแผ้วทางใจแล้วเนี่ย เกิดความปลื้มปีติขึ้นเป็นธรรมดาแล้วเนี่ยนะ อันนั้นบุญจะเกิดกับพ่อแม่เต็มที่ เพราะคนเราเนี่ย ย่อมยึดว่าลูกเป็นของเรา เป็นตัวแทนของเรา เมื่อลูกมีความผ่องใส เมื่อลูกมีความบริสุทธิ์แบบพระ เมื่อลูกสามารถเป็นภาพของความศักดิ์สิทธิ์ให้ตัวเองพร้อมอ่อนน้อมพอที่จะกราบไหว้ได้ นั่นแหละคือที่สุดที่พ่อแม่จะปลื้ม นั่นแหละคือที่สุดของบุญที่จะได้เต็มที่ ไม่เกี่ยวกับว่าเราจะเคยทำอะไรหรือไม่ทำอะไรมาก่อน

แม้แต่พระองคุลีมาล เคยฆ่ามาคนเกือบครบหนึ่งพันคน พอบวชแล้วท่านก็ได้เป็นอรหันต์ นั่นหมายความว่าต่อให้ทำบาปมามากมายอุกฤษฏ์ขนาดไหนก็ไม่สามารถไปลบล้างหรือว่าไปขัดขวางไม่ให้บุญใหญ่เกิดขึ้นได้จากการบวชนะครับ สบายใจได้เลย

การออกกำลังกายเนี่ย มันเป็นเหมือนกัน เป็นเครื่องช่วยให้การเจริญสติเนี่ยมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นด้วย เพราะว่าถ้าหากฐานคือกายเนี่ยนะ มีความแข็งแรงสมบูรณ์แล้วเนี่ย สติมันพร้อมที่จะตั้งมั่นได้ไม่ยากเลย เพราะว่าร่างกายเนี่ย จะอัดฉีดสารต่างๆที่มันเป็นประโยชน์ ที่มันเกื้อกูลกับความรู้ ความตื่น ความเบิกบานของใจนะครับ อย่าดูเบาว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องแบบโลกๆ เป็นเรื่องที่ไม่ได้แอดวานซ์อะไรเหมือนกับการปฏิบัติธรรมภาวนา ไม่ใช่เลย เป็นส่วนประกอบกันอย่างยิ่งเลย ถ้าหากว่าออกกำลังกายแล้ว คุณรู้สึกถึงความเข้มแข็ง คุณรู้สึกถึงกำลัง
รู้สึกถึงพละกำลังของการนั่งสมาธิ เดินจงกรม นั่นแหละเป็นหลักฐานฟ้องเลยว่าการภาวนาด้วยไม่ได้สวนทางกันครับ



๕) จะสอนลูกให้เป็นคนดีได้อย่างไร?

เมื่อครู่นี้ก็อย่างที่ตอบไปนะครับ สอนด้วยการกระทำของพ่อแม่ คุณอยากให้ลูกเป็นอย่างไร ทำให้ลูกดู พูดให้ลูกดู แล้วที่ดีที่สุดคือคิดให้ลูกเกิดความรู้สึกถึงกระแสจากใจของคุณด้วย

คนที่คิดดีบ่อยๆ โดยเฉพาะเด็ก โดยเฉพาะในวัยต้นๆเค้าจะเซนส์ได้ไวมาก เมื่อพ่อเราคิดดี แม่เราคิดดี มันจะออกมาทางสีหน้าสีตาที่ยิ้ม ยิ้มจริงๆ ยิ้มแบบผ่องใส เด็กจะเซนซิทีฟมากกับจิตที่ซ่อนปมอะไรไว้ หรือมีปมอะไรบางอย่างกระจุกอยู่ข้างใน ถึงแม้ว่าเราจะยิ้ม แต่ถ้าใจมีอาการกระจุกตัวอยู่ มีความเครียดอยู่ มีความหมกมุ่นในบาปอยู่ เด็กจะเซนส์ได้
เด็กจะเอาสิ่งที่เค้าสัมผัสได้ทางใจเนี่ย อธิบายไม่ถูก แต่ว่าเค้าจะเก็บเข้ามาเป็นตัวอย่างทางจิตด้วย แล้วเค้าจะเลียนแบบทางจิตของเราด้วย
คิดแบบหมกมุ่น มีความมืด แอบมืด แต่ข้างหน้านี่แสดงออกแบบสว่าง เค้าจะก๊อปเรามาในช่วงต้นๆนะ เหมือนเป๊ะเลย



๖) หากเราเจอคนขี้โมโห ดุด่าโดยไร้เหตุผลบ่อยๆ หรือบางทีเค้าก็น้อยใจจนโมโห เพราะหนูไม่ได้อย่างใจ เค้าทั้งที่หนูก็ทำดีที่สุดแล้ว ถามว่าควรวางตัวอย่างไร? เพราะบางทีหนูวางเฉย เค้าก็หาเรื่องไม่หยุด ทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้หนูโมโห เค้าจึงจะสบายใจ (หนูอยากหนีความโกรธ เค้าก็ตาม จนในที่สุด หนูก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน ในทางพุทธหนูทำถูกแล้วหรือยังคะ? และทำอย่างไรให้เค้าสุขใจและหนูไม่บาป?)

คนแบบนี้ผมเคยเจอ ยืนยันว่ามีอยู่จริงใจโลก ไม่ใช่ละครหลังข่าว บางทีเค้าก็ก๊อปมาจากละครหลังข่าวนั่นแหละ ละครหลังข่าวเนี่ย อิทธิพลสูงมากนะ

(คำถามต่อเนื่อง – หนูอยากหนีความโกรธ เค้าก็ตาม จนในที่สุด หนูก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน ในทางพุทธหนูทำถูกแล้วหรือยังคะ? และทำอย่างไรให้เค้าสุขใจและหนูไม่บาป?)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่เราจะใจดี แล้วก็ปล่อยปละกับทุกคน ใครอยากจะทำอะไรก็ช่างเค้า ไม่ใช่นะ บางครั้งท่านตรัสอย่างนี้ด้วยซ้ำว่า ‘ควรข่มคนที่ควรข่ม’ ลองไปเสิร์ชหาดูในกูเกิล (http://www.google.com) นะครับ เป็นพุทธพจน์นะครับ

ถ้าหากว่าใครจะกำเริบเกินกว่าอยู่ในกรอบในเกณฑ์ที่ควรเนี่ย เราก็จำเป็นต้องกำราบเค้าเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าหากเรามีอำนาจหน้าที่
เรามีพาวเวอร์ที่จะพอกำราบเค้าได้

การกำราบมีอยู่หลายวิธี ทั้งใช้ไม้นวมและก็ใช้ไม้แข็ง แล้วก็ไม่ใช้ไม้อะไรเลย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าที่สุดของการลงโทษในแบบพระนะ ที่สุดของการลงโทษคือการลงพรหมทัณฑ์ หมายความว่าเงียบไม่พูดด้วยเลย
แต่ก่อนหน้านั้นคือการใช้ไม้นวม คือการพูดแบบมีเมตตา…

(สัญญาณขาดไป)



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น