วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๘๙ / วันที่ ๑๓ ส.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันจันทร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks



๑) การที่เราพูดเล่นๆ พูดจาติดตลก ฮาๆ เล่นมุกขำๆ เพื่อเป็นสีสัน และเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงสนุกสนานในกลุ่มเพื่อนฝูง ซึ่งการเล่นมุก หรือการพูดเล่นๆแบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีการสอดแทรกเนื้อหา หรือคำพูดที่เกินจริง หรือไม่เป็นความจริงร่วมไปด้วย ไม่ทราบว่าเรียกเพ้อเจ้อหรือเปล่า? แต่ทุกขณะที่พูดก็จะรู้สึกตัว และระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า แค่เป็นการพูดขำขัน เพื่อสร้างความสนุกสนานเท่านั้น ไม่ได้มีจิตบิดเบือนความจริง หรือโกหกแอบแฝง คิดร้าย แต่อย่างใด คนฟังรับรู้ได้ว่า เราแค่พูดเล่น ขำขัน อยากทราบว่า เหล่านี้เป็นการผิดศีลหรือเปล่า?

ก็ไม่ผิดหรอก เพราะว่าเจตนาเป็นอย่างไร กรรมก็เป็นอย่างนั้นนะครับ อย่างที่ผู้ถามพูดมา จาระไนมาทั้งหมดนั่น มันก็ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้วนะ ก็คือเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แล้วก็กะได้ ประมาณได้ว่า ผู้ฟังเนี่ยนะจะเข้าใจตรงกัน ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่การพูดเล่น เพื่อเอาขำ การพูดเล่น เพื่อเอาขำเนี่ย โดยเจตนาก็คือ เย้าแหย่กัน กระเซ้ากัน หรือว่าอำกัน เพื่อเป็นความบันเทิงในหมู่เพื่อนฝูง เพราะว่าความบันเทิงเนี่ย มันมักจะไม่มากับอะไรที่ตรงไปตรงมา หรือว่าเป็นของจริงนะครับ ก็สรุปง่ายๆว่า มันไม่ได้ผิดหรอกนะ เรื่องศีลเนี่ย เราต้องดูที่เจตนาว่า ตั้งใจจะให้เขาเข้าใจ อย่างที่มันไม่ตรงกับความเป็นจริงแค่ไหนนะครับ แล้วก็หวังผลอะไร ถ้าหากว่า หวังผลให้เขาเข้าใจบิดเบือนไปจากความเป็นจริง จิตใจของเราก็จะบิดเบือนตามไปด้วย แต่ในกรณีที่เราตั้งใจเอาขำนะ จิตใจของเราก็จะปรุงแต่งอยู่ด้วยเรื่องขำๆ

ทีนี้ถ้าในแง่ ถ้าถามพระพุทธเจ้าเนี่ยนะ พระพุทธเจ้าเวลาท่านออกวินัยสงฆ์เนี่ย ท่านก็จะอะลุ้มอล่วยนะ บอกว่า ถ้าคิดแค่พูดเล่นเนี่ย ไม่เป็นไร แต่ในอีกการสอนหนึ่ง ในอีกการสอนระดับหนึ่งนะ เวลาถ้าพูดถึงภิกษุผู้อยู่ในสมณะสารูป สมควรแก่ความเป็นสงฆ์นะครับ หรือว่าผู้ที่จะปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรแบบอุกฤษฏ์ เพื่อที่จะเอามรรคเอาผลกันจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้พูดเล่นเพื่อจะเอาสนุก เอาหัวเราะ ก็ไม่ควร อันนี้คือท่านพูดในแบบสุดโต่ง ในแบบที่จะ หมายถึงว่า ภิกษุที่เป็นสานุศิษย์ท่าน ที่จะปฏิบัติบำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะเอามรรค เอาผลจริงๆเนี่ย จะไม่เห็นแก่การเอาสนุก แม้แต่พูดเล่นก็จะไม่พูด แต่ถ้าหากว่านะ แม้กระทั่งว่าเป็นภิกษุทั่วไปเนี่ย เวลาท่านออกวินัย อันนี้ที่จะพูดก็คือว่า ท่านก็ไม่ปรับอาบัตินะครับ ในกรณีที่รู้กันอยู่แล้ว ว่าเป็นการพูดเล่น กระเซ้ากันสนุกเฉยๆนะ อันนี้ก็จะบอกว่า ไม่ผิดนั่นเอง ไม่ได้ผิดศีล แล้วก็ถ้าหากว่าเรามีสติอยู่ ไม่ได้ปล่อยให้ใจเนี่ย เลื่อนลอยเลอะเทอะไปตามการพูดแบบ เลื่อนเปื้อนไม่รู้จบเนี่ย ก็ไม่ถือว่าเป็นการเพ้อเจ้อเช่นกันนะครับ ถือว่าเป็นการพูดเล่น เพื่อเอาสนุก



๒) พอดีมีหมาจรจัดเข้ามาอยู่ในบ้าน คือบ้านมีประตูรั้ว แต่ไม่มีกำแพงกั้นด้านข้างๆค่ะ ปลูกอยู่ร่วมกันกับญาติ เปิดรั้วให้ออกไป ก็เข้ามาใหม่อยู่ดี ทีนี้เค้ามากินอาหารที่หนูให้กับหมาของญาติค่ะ คือถ้ามีก็ให้นะ แต่ไม่ได้ให้ทุกวันค่ะ ก็เลยไม่ยอมไปไหน มันติดน่ะ หมาเนี่ย อย่างนี้แหละนะ คือพอให้อาหารมันปุ๊บนะ แล้วก็มันรู้สึกว่าเราจะช่วยมัน หรือว่าจะมีเมตตากับมันเนี่ย ธรรมดาของหมาเนี่ย ถ้ารู้สึกว่ามันชอบใจ ถ้ามันติดใจเนี่ย มันก็จะมาอยู่เรื่อยๆ อันนี้เป็นเรื่องปกติของสิ่งมีชีวิตระดับนี้นะครับ คำถามก็คือ หมาเลยไม่ยอมไปไหน จริงๆบุญมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่หนูไม่สะดวกที่จะเลี้ยงจริงๆ อะไรจะบาปกว่ากันคะ ระหว่างเลี้ยงไว้แล้วเลี้ยงไม่ดี กับใจแข็งไม่ให้อาหาร เพื่อให้เขาไปที่อื่น หรือจะแจ้งกทม. ก็ไม่สบายใจ

ผมเข้าใจความรู้สึกตรงนี้นะ เพราะว่าก็เป็นเรื่องที่ว่า เราเคยให้อาหารมันแล้วเนี่ย ความรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบกับความหิวของมันเนี่ย มันก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปยื่นใบสมัครขอเป็นเจ้านายมันนะ แล้วก็ไม่ได้ไปตกปากรับคำ หรือว่าสัญญิงสัญญาว่าจะให้ทุกมื้อ แต่พอเราเห็นเจตนาของมัน เห็นความรู้สึกผูกพันของมันว่า เนี่ยมันมองว่าเรา มีหน้าที่ต้องให้มันแล้วล่ะ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า เราคงเป็นคนให้อาหารมันแล้วจริงๆ

เรื่องของความผูกพัน เรื่องของความรู้สึก มันไม่เกี่ยวกับกรรมนะ โดยกรรมเนี่ย ถ้าหากว่าเราให้มัน ก็ถือว่าเป็นการให้ทานสัตว์ ให้อาหารแก่สัตว์ อันนี้เรียกว่า เราได้บุญ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ให้มัน อันนี้ยังไม่ถือว่าเราทำบาป เราแค่ไม่ทำบุญต่อ ถ้าจะเรียกว่าทำบาปเนี่ย หมายความว่าอาหารมันอยู่ตรงหน้าของมันนะ มีคนให้อาหารมัน เราไปแย่งมันมา อย่างเนี่ยบาป แต่ถ้ามันมาขอแล้วเราไม่ให้เนี่ย เป็นสิทธิ์ของเรานะ คือแค่เราก็ไม่ได้ทำบุญอย่างที่ผู้ถามเข้าใจอยู่แล้ว บุญมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่จริงๆนะ มันมีเรื่องของการแลกกันนะ ระหว่างที่ว่าเราทำบุญด้วยความฝืนใจ แล้วเสร็จแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดีกับมัน กลายเป็นความผูกพันในแบบที่เจืออยู่ด้วยความไม่ชอบใจ ต้องคำนึงตรงนี้ด้วยนะ คือเหมือนกับเราลองๆคิดว่าเป็นคนก็ได้ ตัวเราเนี่ย จริงๆแล้วใจเนี่ย ไม่ได้มีหรอก แต่ไปช่วยเขา เสร็จแล้วเขาก็นึกว่าเราน่ะ มีน้ำใจกับเขา มารู้สึกดีอะไรกับเรามากมาย เสร็จแล้วปรากฏว่าถึงเวลาหนึ่ง เราบอกว่า เราไม่ชอบเขาหรอก เขามารู้ความจริงเข้า บางทีมันก็เฮิร์ตความรู้สึก ทีนี้อย่างหมาเนี่ยนะ มันเซนซิทีฟนะ คืออย่างถ้าสมมติมันติดใจเรา แล้วมาคลอเคลีย มาพยายามจะพันแข้งพันขา เสร็จแล้วเราแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ แสดงออกซึ่งความรู้สึกว่า เหินห่างเป็นอื่นจากมันเนี่ย มันก็จะงง ตอนแรกมันจะงงก่อนว่า เอ๊ะก็ให้อาหารมัน เป็นเจ้าของมันนี่ เป็นผู้ดูแลมัน มันมาแสดงความรัก แต่เราแสดงความรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ มันก็จะงงก่อน แต่พอมากๆเข้าเนี่ย มันจะเริ่มรู้นะ ว่าเราเนี่ยไม่มีความรู้สึกที่เป็นบวกกับมันหรอก แต่ว่าก็ให้มันนะ ให้อาหารมันเหมือนกับเป็นหน้าที่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนี่ย มันก็จะมีหมาน้อยใจเป็นนะ ลองๆคิดดูถึงความรู้สึกเราเนี่ย ว่าเรารักใคร แต่เหมือนกับเขาก็เจียดเอาอะไรดีๆให้ แต่ไม่ได้มีใจ แล้วเราสามารถรู้สึกได้ในระยะยาว ความรู้สึกเสียใจมันก็เกิดขึ้น เนี่ยก็เป็นความผูกพัน ในทางที่ไม่ได้เป็นบุญซะตลอดทางทีเดียว เพราะว่าบุญจะเกิดขึ้นได้แบบเต็มๆเนี่ย ก็มาจากความเต็มใจที่จะช่วยเหลือ ที่จะเกื้อกูลกัน

เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า ถ้าเราเพิ่งให้อาหารมันไปได้ไม่นานเนี่ย ก็ไม่จำเป็นต้องไป สร้างความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ สร้างความรู้สึกว่าต้องผูกพันกัน ทั้งๆที่ใจเราไม่ได้มีตรงนั้นเนี่ย ทีนี้จะให้แนะนำว่า จะเอาไปปล่อย หรือจะแจ้งกทม. อะไรนี่มันก็คงไม่ได้จะต้องไปถึงตรงนั้นนะ แต่ขอบอกอย่างนี้ก็แล้วกันว่า การไม่ให้ ไม่ได้หมายความว่าเราทำบาป การไม่ให้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนใจไม่ดี แต่การไม่ให้ บางครั้งมันหมายถึงการที่เรารู้สึกว่า เออ มันไม่มีใจตรงนั้น มันไม่ได้มีความปลื้มที่จะทำบุญตรงนั้น แล้วเราก็ไปทำบุญตรงอื่น แล้วก็ไม่ต้องไปสร้างความผูกพันแบบหลอกๆขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีแก่ใจ ถ้าหากว่า ลองอย่างนี้ก็ได้ เป็นทางออกที่อาจจะสวยงามในช่วงต้นนะครับ พบกันครึ่งทางกับมัน ก็คือว่าเอาจานอาหารไปวางไว้นอกบ้าน บอกว่า ฉันจะเลี้ยงแกตรงนี้แหละ ฉันจะเลี้ยงแกนอกบ้าน ไม่ใช่ในบ้าน ไม่ไปให้ความหวังกับมันไว้ตั้งแต่ต้นมือ ตัดความหวังของมันซะ ตัดความคาดคิดว่า มันมีสิทธิ์ที่จะเข้าบ้าน ถ้าจะให้อาหารเนี่ย มีอย่างเดียวเลยคือ ให้นอกประตูรั้ว นานๆเข้าหมามันก็จะรู้ได้เองแหละ มันคงไม่หน้าด้านหน้าทนหรอกนะ



๓) หนูชอบเกี่ยวกับด้านชีววิทยา ตอนนี้เรียนวิทยาศาสตร์ เอกไบโอโลจีอยู่ค่ะ แต่ละครั้งที่ได้เข้าใจความรู้ใหม่ๆด้านชีวะ หนูมีความสุขมาก แล้วรู้สึกว่าต้องการที่จะหาอีก รู้อีก แต่หนูเรียนไม่เก่งเลย หนูจำคำตอบไปสอบไม่ได้ สอบตกเยอะ เวลาทำรีเสิร์ชก็ติดขัด รู้สึกว่า มันยากมาก กว่าจะเรียนผ่านแต่ละครั้ง มันรู้สึกหนักอึ้งตลอด หนูรักที่จะเรียนด้านนี้ แต่กระบวนการที่จะทำความเข้าใจมันยากมาก ท้อบ่อยๆ แต่ผลการเรียนวิชาอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ของหนูดีค่ะ แบบนี้กรรมเก่า เขากำลังจะบอกเราว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นนักชีวะหรือเปล่า? คือหนูจะได้เปลี่ยนสายการเรียนไป ถ้าหากทราบว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรตรงนี้

ก็เพิ่งเคยเจอเหมือนกันนะ ปกติแล้วถ้าชอบอะไรเนี่ย ก็จะถนัดอย่างนั้นนะครับ บุญเก่าเนี่ย ส่วนใหญ่นะ ถ้าเป็นในแง่ของบุญเก่า อันนี้จำไว้เป็นคีย์เวิร์ดเลยก็แล้วกัน ถ้าบุญเก่าจะให้ผลเนี่ย ให้เราไปเลือกสายอาชีพไหน หรือว่าสาขาใด มันจะเริ่มจากความชอบใจเสมอ มันไม่ใช่เริ่มจากความฉลาด หรือว่าความแตกฉานในด้านนั้นๆเสมอไป มันจะเริ่มจากความชอบใจก่อน อันดับแรกเลย ความชอบใจ ความมีใจรักนั่นแหละ จะลากจูงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะต้องมาอาศัยประกอบขึ้นเป็นฐานของอาชีพ

อย่างที่น้องบอกว่า พอเวลาได้เรียนรู้ ได้เข้าใจความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับชีวะแล้วมีความสุขมาก แล้วรู้สึกต้องการที่จะหาอีก อยากจะรู้อีก ตัวนี้คีย์เวิร์ดเลย ตัวนี้แหละ เป็นตัวที่ชี้เลย เป็นเข็มทิศชี้เลย บอกเลยว่า บุญเก่าของเรามาทางนี้จริงๆ ลักษณะบุญเก่ามันมาอย่างนี้จริงๆนะ มันเริ่มจากฉันทะ เริ่มจากความพึงพอใจ เริ่มจากความมีใจรัก แล้วก็มีความสุขกับมัน ยิ่งบอกว่า พอรู้อะไรใหม่ๆแล้ว มีความสุขมาก แล้วก็อยากจะรู้อีกๆเนี่ยตัวนี้นะเป็นตัวที่ประกันเลยว่า เราจะอยู่กับงานอย่างมีความสุข
แต่ทีนี้การบอกว่า หนูเรียนไม่เก่ง จำคำตอบไปสอบไม่ได้ สอบตกเยอะ เวลาทำรีเสิร์ชก็ติดขัด รู้สึกว่ามันยากมาก อันนี้มันอาจจะเกี่ยวกับเนื้อหา หรือว่าตัวความยากในตัวของศาสตร์เกี่ยวกับชีววิทยาเอง ซึ่งโอเค สมองของเราอาจจะยังโตไม่เท่ากับความใหญ่ของศาสตร์ หรือว่าความรู้ในชีววิทยา แต่ของแบบนี้มันสั่งสม มันเพิ่มพูนกันได้ ตราบใดที่ใจเรายังรัก ตราบใดที่ใจเรายังเป็นสุขกับการได้ความรู้ใหม่ๆทางชีววิทยานะ ตราบนั้นเรามีโอกาสที่จะก้าวหน้า มีโอกาสที่จะพัฒนาไปในสายทางนี้แน่นอน

ปัญหาคืออย่าหลอกตัวเองนะ ความสุขที่ว่าเนี่ย มันต้องเป็นความสุขที่จะขลุกกับศาสตร์ หรือว่าความรู้ทางชีววิทยาทั้งวันทั้งคืน ได้ไม่อิ่ม ไม่เบื่อจริงๆ คือไม่ใช่แค่ได้ข่าววิทยาการ หรือว่าได้ฟังได้ยินคนเขาพูดกัน เกี่ยวกับการค้นพบใหม่ๆ งานวิจัยใหม่ๆ โอ๊ยนี่ตอนนี้เพาะเนื้อเยื่อแบบนี้ขึ้นมาได้นะ เลียนแบบของเดิมได้ทุกประการ แล้วก็สามารถปลูกถ่ายโน่นนี่นั่นได้ มันมีความตื่นเต้นในแบบจินตนาการ ในแบบช่างฝัน ในแบบไซไฟ แล้วไปเข้าใจว่า เราชอบชีววิทยา ถ้าแบบนี้ก็ต้องตัดสินตัวเองใหม่

แต่ถ้าหากว่าน้องบอกตัวเองว่า ตัวเองชอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชีววิทยาในแบบที่ว่า เราจะขลุกกับมัน เราไม่ท้อกับมัน เราสามารถที่จะฟันฝ่าความยาก หรือว่ากำแพง หรือว่าด่านที่มันคอยสกัดกั้นอยู่ระหว่างทางได้ โดยไม่มีความรู้สึกอยากจะถอยเท้า นี่แหละที่เป็นความชอบของจริง นี่แหละที่เขาเรียกว่าฉันทะตัวจริง ไม่ใช่ของหลอก อันนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าใจเราเอง บอกตัวเองว่า เราอยู่กับความพยายามได้ไหม น้องอย่าถามตัวเองแค่ว่า เราอยู่กับชีววิทยาได้ไหม ถามตัวเองว่า เราอยู่กับความพยายามที่จะเอาดีทางชีววิทยาได้ไหม ถ้าน้องเอาความพยายามเป็นตัวตั้ง แล้วถามตัวเอง ตั้งโจทย์กับตัวเองว่า เนี่ยเราอยู่กับตรงนี้ได้หรือเปล่า ถ้าใจตอบว่าโอเค ถ้าใจตอบว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง นั่นแหละ อยู่กับมันไป ถ้าหากว่าย้ายไปทางอื่น แล้วอะไรจะเป็นประกันล่ะ ว่าเราสามารถจะอยู่กับความพยายามในสาขานั้นๆได้ เพราะทุกศาสตร์ ทุกสาขามีความยากเย็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าศาสตร์สาขาไหนนะ ถ้าเราจะเอาดีจริงๆ เป็นโปรในด้านนั้นจริงๆ มันมีความยากเย็นรออยู่เสมอ แต่ความชอบใจซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดเบื้องต้น มันมีไม่เท่ากันนะ ความยากมีอยู่เท่ากัน แต่แม่เหล็กดึงดูด เสน่ห์ที่จะดึงเราเข้าไปอยู่กับศาสตร์ใด สาขาใดไม่เท่ากัน หลายคนอธิบายว่า เป็นเรื่องของการสั่งสมมาในวัยเด็ก หลายคนอธิบายว่า มันคือการที่เรามีความถนัดเฉพาะตน ด้วยการที่ว่าใช้ชีวิตสั่งสมประสบการณ์มาต่างๆนานา สุดแล้วแต่ใครจะตีความไป แต่ถ้าทางพุทธศาสนาก็คือ เราเคยทำบุญเกี่ยวกับแวดวงนั้นๆ มาก่อน เคยให้ความรู้ หรือว่าเคยให้การสนับสนุน ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในแวดวงหนึ่งๆ เคยมีความชอบใจที่จะสามารถคร่ำหวอด สามารถที่จะไปขลุกอยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืนตลอดชีวิต เนี่ยตัวนี้แหละ ที่มันจะกลายเป็นกระแสที่ดึงดูดเราเข้าไปติด เหมือนกับสิ่งๆนั้นเนี่ย มีเสน่ห์มาก แล้วก็มีความดึงดูด มีแรงดึงดูดมหาศาลเกินต้าน ถ้าใครพบว่าอาชีพไหน หรือว่างานใด มีเสน่ห์ แล้วก็มีแรงดึงดูดนะ อย่าปฏิเสธ อย่าต้านทาน ขอให้พุ่งตัวเข้าไปเต็มเหนี่ยว โดยเฉพาะถ้าอยู่ในต้นวัยนะ เพราะว่ามันจะทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ว่างเปล่า ชีวิตมีงาน สมองได้ทำงาน ร่างกายได้เคลื่อนไหวไปเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเนี่ย ไม่ต้องว่างเปล่านะครับ ก็ถ้าหากว่าประสบความสำเร็จในอาชีพการงานใด มีความมุ่งมั่น มีฉันทะ มีความเพียรพยายามนะ มีจิตใจฝักใฝ่ มีความสามารถในการมองเห็นรอบด้าน เกิดวิสัยทัศน์ เกิดความเก่งกาจอะไรแล้วเนี่ย มาสนใจทางธรรม มาปฏิบัติสมาธิเนี่ย มันจะทำด้วยมุมมองของคนที่มีความมานะ มีความพยายาม ไม่ใช่คนที่เหยาะๆแหยะๆ ถ้าทางโลกเราเหยาะๆแหยะๆ ทางธรรมเราก็จะเหยาะๆแหยะๆตามไปด้วย แต่ถ้าหากว่าทางโลก เราเคยโปรมาก่อน เราก็จะเข้าใจว่า จะมาโปรในทางธรรมด้วยท่าไหน ก็คือ มันต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ทีละวัน มันจะไม่ใจร้อน มันจะไม่ใช่เหมือนกับคนไม่เคยทำอะไร แล้วก็จะมารีบร้อนเอา



๔) พอชีวิตเริ่มมีความสุขขึ้น กลับยิ่งละเลยในการปฏิบัติ เอาง่ายๆเลย คือ เริ่มขี้เกียจ อยากจะให้ปลุกแรงบันดาลใจให้

เรื่องความขี้เกียจเนี่ย มันไม่เข้าใจออกใครนะ อย่ามาตั้งความหวังไว้ว่า พี่จะไปสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้ ต่างคนเนี่ย ต่างต้องมีอุปกรณ์สร้างไฟในมือติดตัวไว้ คือจริงๆแล้วเนี่ย การไปเอากำลังใจหรือว่าแรงบันดาลใจจากคนอื่นเนี่ย ก็เป็นวิธีมาตรฐานน่ะนะ แต่ว่าลักษณะคำถามแบบน้องเนี่ย เท่าที่พี่เคยเจอมานะ มันรู้ดีทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการคำพูดของใครสักคนมาสะกิดแรงๆ หรือว่าอาจจะทิ่มแทงให้เลือดไหลซิบๆ แล้วก็จะได้มีความมานะพยายาม ความกระตือรือร้นอะไรขึ้นมา พอไปเข้าใจอย่างนี้เนี่ย เดี๋ยวกลายเป็นยาเสพติดได้นะ คือ ถ้าท้อแท้ขี้เกียจอะไรเนี่ย ก็จะต้องมาเอาแรงบันดาลใจ ขอแรงบันดาลใจ หรือว่าเอาคำอะไรที่มันกระทบ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่าเนี่ย ฉันต้องออกเดินไปข้างหน้า มันก็โอเค แต่พี่อยากจะพูดไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน เส้นทางที่เราเดินเนี่ยนะ แต่ละคนเนี่ย มันไม่มีใครเคียงข้าง หรือว่าไม่มีใครที่จะอยู่ข้างหลังเราไปได้ตลอดทาง มันจะมีเป็นช่วงๆที่เรารู้สึกว่า เรากำลังเดินอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวแท้ๆเลย มีเหมือนกันกัลยาณมิตรน่ะ แต่เหมือนกับเขาเดินอยู่ห่างๆ เดินขนานกันไปก็จริง แต่เดินอยู่ห่างๆ เพราะว่าเส้นทางของแต่ละคน มันไม่มีทางย่ำซ้ำรอยกันไป หรือว่าต้องเดินเคียงกันไปตลอดเวลา ปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ชะตาชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ความรู้สึกหรือมุมมองที่จะเห็นเส้นทางของตัวเอง เท้าของตัวเอง มันเป็นคนละเรื่องเลย

บางทีเราอยู่ในช่วงที่ขี้เกียจ ขณะที่เพื่อนเขากำลังขยันขันแข็งอยู่ แล้วเรามองไม่เห็นพอยต์ คือการเป็นฆราวาสเนี่ยนะ มันไม่มีตัวกฎกติกาบังคับใจเราอยู่ ว่าเอ๊ะยูต้องทำนะ ไม่ทำนี่ผิดกฎกติกา มากินข้าวชาวบ้านเขาเปลืองเปล่าๆเนี่ยนะ หรือว่าที่ไปตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้ในวันบวชว่า ต้องทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ถึงทำไม่ได้ก็พยายามนะ ไม่ใช่ว่ามานั่งๆนอนๆเนี่ย มันมีอะไรคุมอยู่บางอย่าง มันมีผ้าเหลืองคุมอยู่ ว่าเราจะมานั่งๆนอนๆ ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิด ผิดแน่ๆแล้วคนมีสามัญสำนึก มีจิตสำนึกดีๆทั่วไป ก็จะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกผิดแบบนั้นรบกวนจิตใจนาน ก็จะต้องลุกขึ้นมา มาเดินจงกรม ลุกขึ้นมา มานั่งสมาธิ หรือว่าลุกขึ้นมา มาเจริญสติ หาสภาวะจิตสภาวะใจไว้ดู ให้เห็นความไม่เที่ยง ให้เห็นความไม่ใช่ตัวตน นี่เรื่องของพระ พอเรื่องของฆราวาส เราไม่ได้ไปตกลงกับใครเลย ว่าฉันจะตั้งใจนะ ฉันจะเอามรรคผลนิพพานให้ได้ แต่มันมีการหมายมั่นปั้นมือไว้กับตัวเอง ว่าฉันพบทางถูกทางดีทางตรงแล้ว ไม่อยากปล่อยให้เสียโอกาสไปชาติหนึ่ง แล้วยังไม่พร้อมบวชด้วย แต่ขอเป็นฆราวาสที่ไม่ปล่อยเวลาว่างให้สูญเปล่า เอาเวลาว่างมาเจริญสติ เอามาสั่งสม เอามาตุนเสบียง เสบียงที่จะไปนิพพานนะ ไม่ใช่เสบียงไปแค่สวรรค์นะ พอมันตกลงกับตัวเองไว้แบบนี้ โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นมาคอยบีบ เราหาเงินหาทองเอง เรารับผิดชอบชีวิตตัวเอง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง ไม่ได้พึ่งพาใคร แล้วก็ไม่เคยสัญญากับคนอื่นไว้ว่า ฉันจะต้องทำอย่างนั้น ฉันจะต้องทำแบบนี้ มันก็เลยไม่มีข้อบังคับ

ทีนี้ถ้าหากว่า เวลาไหนที่เรารู้สึกว่า ตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะขี้เกียจทางธรรม อย่าไปเร่งรัด อย่าไปพยายามทำให้มันฮึกเหิมขึ้นมา แต่ขอให้ดูว่า ชีวิตแสดงความไม่เที่ยงอะไรให้เราดูบ้าง คือทำตัวเป็นผู้สังเกตนั่นแหละ ว่าวันนี้ชีวิตจะแสดงอะไรให้เราดูอีก เชื่อเถอะว่า ชีวิตจะไม่แสดงความพรั่งพร้อม ชีวิตจะไม่แสดงความพอ ชีวิตจะไม่แสดงความสุข ไม่แสดงความน่าพิสมัยให้กับเรานานนัก มันจะต้องมีอะไรสักอย่างมาก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับเราบ้าง ตรงนั้นเนี่ยนะ ค่อยๆเห็นความไม่เที่ยงมันไป ไม่ต้องรีบร้อน เพราะว่าไหนๆเราก็ไม่ได้ไปสัญญิงสัญญากับใครว่าจะรีบร้อนไปไหนอยู่แล้ว แค่มีความอยากกับใจตัวเอง เราค่อยๆสังเกตอย่างใจเย็น คือคำว่าขยันหรือขี้เกียจเนี่ย จำไว้เลยนะ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ใครมาจี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเจริญสติ ถ้าจะขยันมันขยันขึ้นมาจากความพอใจของตัวเอง และความพอใจที่มันยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการได้เห็นทุกข์ ด้วยความเข้าใจ ด้วยใจที่มันจริง ด้วยใจที่มันไม่มีการมาเร่งร้อนอยากเอาอะไร แต่มันเห็นทุกข์ออกมาจากใจจริงๆ เห็นทุกข์ออกมาจากธรรมชาติของชีวิตแต่ละวัน ที่มันกำลังแสดงตัวอยู่จริงๆเนี่ยตัวนี้นะ ที่มันจะทำให้เกิดความต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ค่อยๆหยอดกระปุกไปนะครับ อย่าไปเร่งร้อน อย่าไปคาดหมายว่าเป็นฆราวาสแล้ว จะต้องขยันให้ได้ทุกวัน


เอาล่ะครับ คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น