วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๘๒ / วันที่ ๒๗ ก.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

๑) ถ้าภรรยาไม่สนับสนุนการภาวนาแล้วเราขอเลิก แต่เราจะรับผิดชอบโดยการแบ่งสมบัติให้ เราจะยังบาปไหม?

(ถาม – ภรรยาผมไม่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมของผมเลย แถมบางครั้งยังแอนตี้ทางอ้อมด้วย ที่ไม่ทำตรงๆเพราะผมเคยขู่ว่าจะตกนรก ถ้าผมจะขอเลิกกับภรรยาจะบาปไหมครับ แต่ผมยังรับผิดชอบโดยจะยกสมบัติให้ทั้งหมด แถมรายได้ของผมอีก ๗๕% อยู่ได้สบายตลอดชีวิตเลยล่ะ จะมีกรรมมากไหม?)

คือจะให้ผมบอกว่าจะสนับสนุน หรือว่าพูดเป็นเชิงที่ว่าไม่เป็นไรก็คงไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสามีภรรยานะครับ ถึงแม้ว่าจะมีสื่อกลางเข้ามาเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม คือมันไม่ใช่วิสัยที่ควรจะถามใครว่าเหมาะหรือไม่เหมาะนะครับ แต่ผมบอกให้อย่างนี้ก็แล้วกันว่า อันนี้พูดไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้ แต่พูดโดยทั่วไปเลยนะ การที่เรามีศรัทธาทางศาสนา ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใดก็ตาม ตัวนั้นเป็นทิศทาง เป็นหลักเลย เป็นตัวบอกว่าเราไปทางไหน ถ้าหากว่าได้คู่ครองที่ไม่ได้ไปทางเดียวกัน มันยากเหลือเกิน มันยากมากนะที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คือเราต้องมองไว้แต่แรก เผื่อใจไว้แต่แรกว่า ถ้าเลือกคู่ครองที่ใจอยู่คนละฝั่งกับศรัทธาของเราเนี่ยนะ เตรียมตัวได้เลยว่าวันหนึ่งจะต้องมีปัญหา บางสิ่งบางอย่าง หรือหลายๆอย่าง หลายๆข้อ หลายๆประเด็นเกิดขึ้นตามมาเป็นธรรมดา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นชายกับหญิง ไม่ว่าจะเป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นญาติ ควรจะต้องมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน หรือไล่เลี่ยกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ จิตมันถึงจะจูนกันติด แต่มันก็จะมีปัญหาขึ้นมา บางคนก็จะแย้งขึ้นมาว่า ตอนแรกเนี่ยนะ ผมยังไม่ได้มีศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่ได้มีความมุ่งหวังทางการปฏิบัติอะไรมากมาย ก็อยู่กินกับภรรยามาด้วยวิถีทางแบบโลกๆ มันไม่รู้นี่ว่าอนาคตเราจะชอบแบบไหน เราจะศรัทธาไปในทางใดนะครับ อันนี้ถ้าเป็นกรณีหลังนะครับ มีทางเดียวคือเราต้องค่อยกลืนภรรยา หรือว่าคู่ครองให้ค่อยๆมีศรัทธามาตามเรา เพราะว่าอย่างหนึ่งถ้าหากว่าเรามามีศรัทธาปักหลักมั่นคงในภายหลังจากที่คบกันแล้ว หลังจากที่อยู่กินกันแล้วเนี่ยนะ โดยมากก็จะค่อยๆมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองในทางที่ดีขึ้น ในทางที่เย็นลง ในทางที่โกรธยากขึ้นอะไรทำนองนั้นนะ ถ้าหากว่าเอาแค่โกรธยากขึ้นหรือว่ามีการขึ้นเสียงน้อยลง หรือว่ามีการทำให้อีกฝ่ายระคายเคืองแค่นิดหน่อย หรือว่าไม่มีเลยเนี่ยนะ อย่างน้อยที่สุดเขาต้องมีความชื่นชม มีความนิยมในการเปลี่ยนแปลงของเรา และก็สามารถที่จะค่อยๆคล้อยตามเรามาได้

การที่ทำอะไรชัดเจนเกินไปแบบหักดิบ หรือว่าจะไปให้อีกฝ่ายมาตามเราทันทีน่ะ ไม่ใช่กุศโลบายที่เหมาะสมนะครับ ส่วนใหญ่แล้วโดยเฉพาะคู่ครองที่ตามเราไม่ทันเนี่ยนะ ต้องการเวลา และก็ต้องการความใจเย็นของเราในการค่อยๆเกลี้ยกล่อม ค่อยๆทำให้เห็นดีเห็นงามตามกันนะครับ ผมเคยเห็นเยอะที่ตอนแรกคู่ครองอาจจะไม่ค่อยแอนตี้อะไรมาก แต่พอเราไปพยายามชักชวนหรือว่าแสดงออก ซึ่งการเป็นคนอยู่อีกโลกหนึ่งชัดเจนเกินไป มันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านได้เป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นแต่เดิมเคยพาไปดูหนังแทบจะทุกสามวัน หรือว่าอย่างน้อยวันศุกร์ต้องเอาแหละ จองตั๋วที่ใดที่หนึ่งและก็ไปมีความสุขด้วยกัน หรืออาจจะไปท่องเที่ยวอะไรที่ไหนตามแบบที่เคยชินกันมาอะไรทำนองนั้นเนี่ยนะ แล้วมาวันหนึ่งเราบอกเลิกขาด ไม่เอาอีกเลย อย่างนี้ก็เป็นธรรมดาครับถ้าหากว่าเขาจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน หรือว่าไม่เอากับเราด้วย บางทีมันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ ผมพูดได้แค่กว้างๆ คือคงไม่สามารถลงรายละเอียดอะไรได้นะครับ แต่ว่าอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราบอกกับคนทั่วไปว่า เราเลิกกับภรรยาเพราะการปฏิบัติธรรมเนี่ย มันไม่เป็นผลดีกับวงการปฏิบัติเจริญสติแน่นอน มันจะกลายเป็นข้อครหานินทาในภายหลังได้ ตัวเราเองก็อาจจะไม่มีความสุขกับเสียงครหานินทาแบบนั้นนะครับ

ก็เห็นใจ และก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีความรู้สึกอย่างไร ถ้าหากว่าเราจะมามีศรัทธา แล้วก็มีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่คล้อยตามไปในทางการเจริญสติมากขึ้น แล้วก็ทำให้คู่ครองเกิดความรู้สึกไม่พอใจ เข้าใจและก็เห็นใจ แต่ถ้าหากว่าจะตัดสินใจอย่างไรเนี่ย ก็อย่าพึ่งไปมองเรื่องบาปเรื่องกรรม ขอให้มองกันเรื่องการผูกใจเจ็บเป็นอันดับแรกก่อน

เรื่องบาปเนี่ย ถ้าไม่ได้ทำร้ายกันจริงๆเนี่ยนะ มันก็ไม่ได้บาปเท่าไหร่ แต่ขอให้มองอย่างระวังนะ การที่เราผูกใจเจ็บกัน ด้วยเหตุที่ได้มีฝ่ายหนึ่งหวังสูง และก็ปฏิบัติธรรมเจริญสติเนี่ย เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเกิดอกุศลจิต หรือว่าเกิดโทสะไปพูดอะไรไม่ดี หรือว่าคิดอะไรไม่ดีมากๆเข้าเนี่ย เขาก็แนวโน้มที่จะมีความมืดดำติดตัวไปทั้งชีวิตล่ะ อันนี้ก็คงต้องมีความเห็นใจให้มากๆนะครับ

(คำถามต่อเนื่อง – แล้วถ้าเปลี่ยนแปลงตนเองจนดีขึ้นแล้ว พยายามโน้มน้าวแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมคล้อยตามมาปฏิบัติธรรม ควรทำอย่างไร?)

อันนี้ก็เอาที่คุณ (ผู้ถามอีกคนหนึ่ง) เล่าให้ฟังก็แล้วกัน บอกว่า… “จริงครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้ศรัทธามากขนาดนี้ ผมพยายามโน้มน้าวภรรยามาตลอดแล้วครับ แต่หลอนจะปฏิเสธตลอด หลอนก็เห็นว่าผมดีขึ้นจริง แต่ยังไม่ยอมคล้อยตามครับ”

อันนี้ก็เห็นมาเยอะนะครับ คือโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้หญิงยังไม่ได้มีความทุกข์ในชีวิตมาก หรือยังอยากจะสนุก อยากจะบันเทิง อยากจะใช้ชีวิตแบบโลกๆ ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาต่ออยู่เนี่ยนะครับ เราจะไปชี้อย่างไร จะไปตะล่อมหว่านล้อมอย่างไรเนี่ยบางทีมันก็ไม่ไหวนะครับ จนกว่าเขาจะมีลิงก์อะไรบางอย่างในชีวิตที่สามารถมาเชื่อมติดกับการเจริญสติได้ ตรงนั้นเนี่ย ถ้าเราพูดแล้วมันถึงจะดูง่าย

ลิงก์ในชีวิตคืออะไร? ส่วนใหญ่นะครับ อันนี้ต้องยอมรับตามจริงนะครับ คือถ้าคนเราเนี่ยไม่ได้ทุกข์มากๆมันไม่ได้หาทางออกหรอก มันจะเชื่อว่าตัวเองเนี่ยมีความสุขอยู่แล้ว แล้วก็พยายามที่จะใช้ชีวิตเพื่อที่จะเอาความสุขในแบบที่ตนเองต้องการมาเป็นตัวตั้ง ถ้าหากว่าเราไปฝืนหล่อนเข้า หรือว่าทำให้หล่อนเกิดความรู้สึกว่า เอ้ย อันนี้ ยังไงก็ไม่ใช่อ่ะ มันยิ่งพูดจะยิ่งต้าน ไม่พูดเลยดีกว่า ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านเลยดีกว่า แล้วให้มันค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับ คือค่อยๆทำให้รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปไหน ผู้หญิงส่วนใหญ่นะครับบางทีจะกลัวไปล่วงหน้า กลัวสามีจะไปบวชนะแล้วก็ทิ้งตัวเองไป อันนี้มันเป็นความรู้สึกที่ยอมไม่ได้ แล้วก็จะเกิดเรื่องเกิดราวอะไรขึ้นมาตามมามากมายนะครับ อยากจะต่อต้าน อยากจะขัดขวาง ยังดีนะครับถ้าหากว่าภรรยายังเป็นคนที่กลัวนรกอยู่ หรือว่ายังกลัวบาปกลัวกรรมอยู่ ก็พอพูดกันได้นิดหน่อย

แต่ว่าเอาละครับ โดยสรุปก็คือ เราต้องเห็นใจเธอให้มากๆ แล้วก็หาทาง หาอุบายโดยใช้ชีวิตประจำวันให้ใกล้เคียงกับที่เธอต้องการมากที่สุดนะครับ แล้วเรื่องการเจริญสติเนี่ย เราเจริญสติด้วยมุมมองภายในไปก่อนก็ได้ เพราะว่ามันกลับไปที่จุดเริ่มต้นไม่ได้แล้ว มันกลับไปเลือกใหม่ไม่ได้แล้วอะ มันใช้ชีวิตมาด้วยกันแล้ว ยังไงก็ต้องประคับประคองด้วยความรู้สึกเห็นใจกันเป็นหลักนะครับ ก็ให้คำแนะนำได้เพียงเท่านั้นจริงๆ



๒) ทำบุญแล้วรู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ทำอะไรที่เสี่ยงๆก็คิดว่าไม่เป็นไร จะมีวิธีคิดอย่างไรที่จะทำให้ไม่ประมาท?

(ถาม – เวลาเราทำบุญเข้าหาธรรมะ พอทำอะไรก็คิดว่าตัวเองมีบุญ มีสิ่งคอยคุ้มครอง ทำอะไรที่เสี่ยงๆก็คิดว่าไม่เป็นไร บางครั้งทำให้ตนตั้งอยู่ในความประมาทได้ จะมีวิธีคิดอย่างไรให้เลิกหลงแบบนี้?)

ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันนะครับ เล่ามาเนี่ยมันใช่เลยนะ เป็นการเหมือนกับสารภาพไปในตัวว่าเรามีด้านกลับของความดีอย่างไร ด้านกลับของความดีไม่ใช่ความชั่วร้ายเลวทรามเสมอไปนะ แต่อาจจะเป็นแค่อะไรพื้นๆ เช่น รู้สึกทะนงหลงตัว หรือว่าเกิดความรู้สึกเหมือนกับทำอะไรก็ได้ไม่ผิดทำนองนั้น ซึ่งไม่เป็นกันเฉพาะคุณนะ แต่เป็นกันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพึ่งเปลี่ยนวิถีทางจากชีวิตแบบโลกๆมาเข้าสู่ทางธรรม แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ามันแตกต่างกันมาก เรียกว่าจากเหวขึ้นมาเป็นฟ้า จากมืดกลายเป็นสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันต่างไป แบบที่เรียกว่าเรารู้สึกราวกับเกิดใหม่ หรือว่าเป็นคนละชีวิตกันได้ทีเดียว หลายๆคนจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเนี่ยนะ นอกจากจะมีความเบ่งบานสดชื่นแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งบางประการที่ออกมาจากภายในนะ มันอาจจะไปประสมกับทุนเก่าด้วย หรือว่าอาจจะมีฐานอยู่แล้ว แล้วก็มาต่อยอดให้กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าขึ้นมา และรู้สึกว่าความสว่างเจิดจ้าแบบนี้ มันเหมือนกับบอกใบ้เราว่าตัวเราวิเศษ และก็เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความเจิดจ้าแบบเดียวกัน อันนี้เพื่อที่จะไม่ให้หลงติดดี หรือว่าไปเกิดความทะนงหลงอัตตาแบบใหม่ขึ้นมา อย่างหนึ่งที่เราควรจะเตรียมไว้เป็นอันดับแรกก็คือการมองเห็นตามจริง ยอมรับตามตรงว่ามันเกิดความทะนงหลงตัวขึ้นมา คือเตรียมใจไว้แต่แรกเลยว่า ถ้ามีความสว่างจากการทำบุญ หรือว่าอยู่ในเส้นทางของการเจริญสติ อยู่ในเส้นทางของการที่เป็นพุทธมามกะมากขึ้น และยิ่งอยู่บนเส้นทางที่สะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ ความรู้สึกสูงส่งมันจะตามมาเป็นเงาตามตัว พอเตรียมใจไว้อย่างนี้แล้วก็พอที่จะมีสติดูได้ ณ เวลาที่อัตตามันเติบโตขึ้นมา มันจะแตกต่างกับคนที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า คือไม่หลงเพลินไป มันจะมีสติว่า เออ…ตอนนี้เราเกิดความรู้สึกเหมือนกับประมาทชะล่าขึ้นมาแล้ว นึกว่าไม่เป็นไร นึกว่ามีธรรมะคุ้มครอง ลองดูครูบาอาจารย์นะ ท่านบางทีปฏิบัติกระทั่งจบกิจแล้ว ท่านยังตกเครื่องบินได้ เครื่องบินระเบิดกลางอากาศก็มีให้เห็นมาแล้ว หรือว่าเอาในสมัยพุทธกาล แม้กระทั่งพระโมคลานะ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์มี ‘อภิญญา ๖’ ครบเลย คือนอกจากจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ยังสิ้นอาสวกิเลส ท่านยังมรณภาพด้วยการถูกโจรทุบจนกระทั่งร่างกายแตก พอมองไปที่ครูบาอาจารย์ท่านเนี่ย ท่านดีกว่าเรา ท่านวิเศษกว่าเราล้านเท่า ท่านก็สามารถที่จะถูกกรรมเก่าเล่นงานได้ แล้วเราเป็นใครเรามีดีแค่ไหนถึงจะไม่มีสิทธิ์ที่จะโดนแบบพวกท่านบ้าง อันนี้คือไม่ใช่ดูไว้เพื่อที่จะเกิดความรู้สึกว่าโอ้ครูบาอาจารย์ท่านไม่วิเศษจริง แต่ดูไว้เพื่อที่จะให้เห็น เพื่อที่จะให้สลดสังเวชในธรรมดาของกรรมวิบาก แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่าท่านบำเพ็ญมามากที่สุดแล้ว ไม่มีใคร ณ เวลาที่ท่านตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่มีสังสารสัตว์ใดในอนันตจักรวาลที่มีบารมีเทียบเท่าท่าน ท่านก็ยังต้องประสบกับเคราะห์กรรมนานาประการนะครับ มีคนปล่อยช้างมาจะให้ทำร้ายท่านบ้างล่ะ มีคนใส่ร้ายท่านบ้างล่ะ หรือว่าทรงประชวรมีไข้ขึ้นสูงนะครับ กระทั่งว่าท่านจวนจะดับขันธปรินิพพานแล้ว อยากจะเสวยดื่มน้ำจากลำธาร น้ำก็ขุ่นซะเพราะว่ามีวัวมาเดินผ่านอะไรแบบนี้ ด้วยกรรมเล็กๆน้อยๆของท่านที่เคยไปห้ามวัวไว้ไม่ให้กินน้ำ คืออะไรเล็กๆน้อยๆที่เป็นกรรมเก่า มันสามารถตามมาเล่นงานเราได้ในทุกกรณี ถ้าหากว่ามันจะถึงเวลาให้ผลของมันนะ ไม่ใช่ว่าเรามีคุณธรรม หรือว่ามีความสว่างเจิดจ้าใดๆแล้วเนี่ย จะไปห้ามกรรมเก่าไม่ให้เผล็ดผลได้ อันนี้พอเราเตรียมใจไว้ล่วงหน้าตามจริงไว้แบบนี้นะ ก็จะไม่เป็นผู้ประมาท และก็มีความสลดสังเวชในธรรม คือมีแรงผลักดันที่จะได้ดิ้นหนีออกจากบาปชั่วทุกประการนะครับ และก็เห็นค่าของการเดินทางไปบนเส้นทางของมรรคผล และนิพพาน อย่างนี้ก็แล้วกัน ก็คือว่า หนึ่งเตรียมไจไว้ล่วงหน้าว่าเราจะเห็นอัตตามันโตขึ้นมาเป็นธรรมดา พอเห็นแล้วก็จะได้เกิดความไม่เพลินไม่หลงไปตามอัตตาแบบนั้นๆ และข้อสองก็คือว่าศึกษาดูท่านที่ไปถึงที่สุดแล้ว มีบุญมากที่สุดแล้ว ท่านก็ยังสามารถประสบเคราะห์กรรม หรือว่าถูกวิบากกรรมแต่หนหลังเล่นงานได้อย่างไร ตัวนี้แหละที่จะทำให้เราเลิกประมาทเสียได้นะครับ



๓) บุญแบบไหนที่ทำให้รวยเร็ว?

เท่าที่มีบันทึกในพระไตรปิฎกก็มีทางเดียวนะครับคือ จะต้องทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ แล้วก็เป็นผู้ที่มีกำลังใจในการทำกับท่านอย่างแก่กล้านะครับ คือไม่ได้ไปหวังจะรวยหรือว่าหวังจะอะไรนะครับ แต่ว่าใจเนี่ยคิดอยากจะทำบุญกับท่าน เห็นท่านมีความผ่องใส แล้วก็มีความรู้สึกที่ชื่นบานมากอยากจะทำบุญมาก นี่ตัวนี้แหละที่จะทำให้เกิดผลเร็ว คือว่ากันว่าจะได้ผลภายใน ๗ วันนะครับ แล้วก็ขอบอกไว้ด้วย บางทีนะครับ ถ้าหากว่าบนโลกนี้ หรือว่าชะตากรรมเส้นทางกรรมของเราเนี่ยมันไม่เอื้อให้ได้รวยกว่าเดิมรวดเร็วนักเนี่ย เขาก็จะส่งข้ามภพข้ามชาติไปเลยนะครับ อย่างเช่น เคยมีนางนางหนึ่งไปทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ แต่ไม่มีปัจจัยในปัจจุบันที่จะเอื้อให้ได้เสวยผลนั้น ก็เลยส่งวัวบ้ามาขวิดตายเลย แล้วก็ได้ไปเสวยผลที่ได้ทำบุญกับพระอรหันต์นั่นน่ะ ไปได้เสวยผลบนสวรรค์แทน

สรุปก็คือไอ้แบบที่ทำให้รวยเร็วเนี่ย อย่าไปเชื่อว่ามันมีนะครับ คือต่อให้ไปปรึกษาซินแส จะปรับฮวงจุ้ย หรือว่าจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลอะไร หรือว่าจะไปทำบุญเจ็ดวัดอะไรทั้งหลายแหล่เนี่ยนะครับ ถ้าหากว่ามันไม่ได้อยู่ในช่องจังหวะที่วิบากกรรมเก่าเขาออกแบบเขาวางแผนไว้ว่าจะให้เรามีฐานะดีขึ้นเนี่ย ยังไงๆมันก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถึงเป็นไปได้นะครับ มันก็จะคล้ายๆกับสามล้อถูกหวยอะนะครับ รวยขึ้นมาชั่วข้ามคืน แต่ก็หายไปชั่วข้ามเดือนเหมือนกันนะครับ

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างเหมาะสมนะครับ แล้วถ้าหากว่าเราจะรวยอย่างยั่งยืนเนี่ย มันจำเป็นต้องรู้ว่ารวยขึ้นมาเนี่ย มีเงินมากขึ้นมาเนี่ยด้วยวิธีไหน ถ้าหากว่าเราไม่รู้วิธีที่จะรวยขึ้นมา ก็จะไม่รู้วิธีรักษาความรวยเช่นกันนะครับ



๔) ปฏิบัติธรรมแล้วเหมือนเส้นวาสนาบนมือยาวขึ้น เกี่ยวข้องกันไหม? แล้วการเปลี่ยนแปลงตนเองเกี่ยวข้องกับเส้นลายมืออย่างไร?

เกี่ยวแน่นอนครับ เพราะว่าลายมือเนี่ยพิสูจน์กันตามหลักวิทยาศาสตร์เรียบร้อยแล้วนะครับว่าเปลี่ยนได้จริง แต่ว่าเขายังไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงได้ชัดเจนว่ามันเปลี่ยนเพราะอะไรกันแน่ แต่ว่าเท่าที่มีหลักฐานบันทึกกัน ซึ่งเขายังหาข้อสรุปชัดเจนไม่ได้ก็คือ เส้นลายมือเนี่ยมันจะเกี่ยวกับวิธีทำงานของสมองนะครับ คือคลื่นสมองแบบนึงมันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องของเคมีในร่างกายนะครับแล้วก็เส้นลายมือเนี่ยมันจะมีเอี่ยวอยู่ด้วย ทีนี้เนี่ยเขายังไม่สามารถแจกแจงเจียระไนได้อย่างละเอียดว่า การที่คลื่นสมองทำงานเปลี่ยนไปแบบนึงมันไปมีผลต่อการเปลี่ยนเส้นลายมือได้อย่างไร แต่เอาง่ายๆเลยนะครับ คือถ้าหากว่าเราปฏิบัติธรรมมาจนกระทั่งนิสัยเปลี่ยน คุณมองดูได้เลยนะในกระจกเนี่ย โหง้วเฮ้งมันเปลี่ยนตามไปด้วย หน้าจะใสขึ้น ไม่ต้องไปแต่งที่ไหนเลยนะครับ ก็ลักษณะคาง ลักษณะแก้ม หรือแม้กระทั่งเนื้อที่กรามเนื้อที่หน้าผากอะไรต่อมิอะไรต่างๆเนี่ยมันจะเปลี่ยนไป มันจะต่างไป บางคนเนี่ยหน้ามืดๆอยู่นะ เห็นชัดๆเลยนะครับ แต่พอปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้อง แล้วก็ไม่ได้มีความหวังอื่น ไม่ได้มีประสงค์อื่นนอกจากจะให้ตัวเองเนี่ยหลุดพ้นออกจากอุปาทานว่ามีตัวตนนะครับ เห็นความไม่เที่ยงของกาย เห็นความไม่เที่ยงของใจ แทนที่เราพยายามจะทิ้งร่างกายแล้วร่างกายมันจะให้ความร่วมมือ มันไม่ให้ความร่วมมือครับ คือมันจะดึงเราไว้ต่อนะครับ มันจะหล่อขึ้น มันจะสวยขึ้นนะครับ แล้วก็ดูดีขึ้นทุกประการนะครับ แถมชะตาชีวิตเนี่ยจากที่คนเคยเข้าใจผิด จากที่คนเคยหมั่นไส้กลายเป็นชอบ กลายเป็นมาหลงรัก กลายเป็นมามีความเกื้อกูลกับเรา คนที่เคยอาฆาตแค้นเขาก็ให้อภัยเรา แล้วก็เปลี่ยนจากภาวะศัตรูมาเป็นมิตรอะไรแบบนั้นนะครับ ถ้าหากว่าเราทำเต็มที่จริงๆ แล้วก็มีใจที่ไม่โกรธ ไม่แค้น ไม่เคือง ไม่อาฆาตใครจริงๆเนี่ย ลักษณะใจที่เปลี่ยนไปเนี่ยมันดึงดูดเอาสิ่งแวดล้อมในชีวิตที่แปลกใหม่มาหาเราได้หมด แล้วถ้าหากว่าอธิบายตามศาสตร์ของลายมือก็คือว่า พอเส้นทางกรรมต่างไปเนี่ย วิถีชีวิตแทนที่มันจะถูกเบียดเบียนมากๆมันก็เปลี่ยนไปนะครับ เส้นลายมือที่จะบอกว่าจะต้องถูกเบียดเบียนมากๆมันก็จะเหมือนกับมีการเบี่ยงเบน หรือว่าถ้าหากเส้นลายมือบอกว่า… บางทีนะครับมีอย่างนี้เลยนะครับ บอกว่าเนี่ยชะตาขาด หรือมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรง หรือว่าต้องนอนแซ่วไปยาวอะไรทำนองนั้นน่ะนะครับ ถ้ามีลายมือแบบนี้สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรมมาจริงๆเนี่ยธรรมะเขาจะช่วย คือผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือกระทั่งว่าทำให้ไอ้ที่มันเบาเนี่ยหายไปเลยนะครับ ที่จะต้องไปรับผลถึงชีวิต เลือดตกยางออกอะไรเนี่ย มันจะเปลี่ยนไป เส้นลายมือที่บอกว่าจะต้องเลือดตกยางออกเนี่ยมันก็หายไปด้วย หรือว่าเลือนไปด้วยหรือว่าเปลี่ยนไปในทางอื่นนะครับจากหนักกลายเป็นเบาอะไรทำนองนั้น นี่ก็เป็นความเชื่อมโยงที่ยากนะครับที่จะสังเกต ยากที่เราจะรู้ให้ทั่วถึง แต่ขอให้เข้าใจเถอะครับ ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมแล้วเรามีความสุขมากขึ้น มีมิตรมากขึ้น แล้วก็มีความรู้สึกดีขึ้นกับตัวเองเนี่ย ตรงนั้นนะครับ ปัจจัยทั้งหลายทั้งแหล่ รายละเอียดทั้งหลายในชีวิตเนี่ยมันจะเปลี่ยนไปให้เห็นชัดๆเลยนะครับ แต่เราคงไม่ได้พอใจกับรายละเอียดภายนอกมากกว่าความรู้สึกเป็นสุขที่เกิดขึ้นที่เอ่อขึ้นมาภายในเป็นแน่นะครับ



« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น