วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๙๙ / วันที่ ๕ ก.ย. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ก็อยู่ในนี้แหละนะครับ ในเพจของดังตฤณนะครับ http://www.facebook.com/dungtrin



๑) ถ้าอยากฝึกเห็นกายเป็นศพ แต่ปกตินั่งสมาธิแล้วหลงไปคิดเป็นส่วนใหญ่ เลยใช้การเดินจงกรมแทน แล้วพื้นฐานก็เป็นคนกลัวผี แต่พอจะดูวีดีโอผ่าศพได้โดยไม่ลำบากใจนัก อย่างนี้จะสามารถฝึกได้ไหม?

ถ้าเป็นฆราวาสนะครับ จริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราๆทราบเรารู้อยู่ว่าสมาธิยังไม่แข็งนี่ ไม่ต้องไปฝึกก็ได้นะครับ อันนี้พูดในฐานะของคนที่เห็นคนพยายาม คนอื่นพยายามมาเยอะนะครับ

แล้วก็ตัวเองก็เคยฝึกตั้งแต่ต้นๆเลย เคยเป็น ผมจริงๆแล้วผมก็ค่อนข้างจะถูกจริตกับการเห็นกายเป็นศพ เห็นกายเป็นตับไตไส้พุง อยู่ข้างในอะไรแบบนี้นะ ในช่วงต้นๆ เพราะว่าก็ได้แรงบันดาลใจมาจากครูบาอาจารย์ท่านแรกนี่นะครับที่ทำให้รู้สึกเข้าใจ รู้สึกซาบซึ้งในพุทธศาสนานะครับ

ท่านก็ให้ดูพิจารณารูปศพนะครับ ซึ่งผมก็เกิดความ มันมีแรงปะทะมากทีเดียวแหละนะครับ รู้สึกว่าตับไตไส้พุงที่อยู่ข้างในนี่ คือของจริง ส่วนไอ้ผิวนอกที่ดูสะอาดสะอ้านนะครับ ที่มันดูนุ่มนิ่มนะครับ น่ากอดน่าสัมผัสนี่ มันเป็นของหลอก เป็นของหลอกตา ของจริงๆนี่ที่มันอัดแน่นอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้านี่คือตับไตไส้พุงที่น่าเกลียดนะครับ แล้วมันสักแต่เป็นธาตุที่เข้ามาประชุมกันครู่นึงนะครับ ร้อยปีของสังสารวัฏนี่เท่ากับ ท่านว่าเท่ากับฟ้าแลบนะครับ มาประชุมกันแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ต้องแตก ต้องสลายไป นี่มันเกิดความประทับใจนะครับ เกิดแรงปะทะที่รุนแรงมาก ก็เลยฝึก

แล้วก็ช่วงนั้นอาจจะไม่ได้มีความวอกแวกไปในเรื่องอื่นมาก ก็เห็นเนื้อหาภายในของร่างกายได้ค่อนข้างจะไม่ลำบากนัก นี่คือหลังจากที่ได้พบปะพูดคุยกับนักปฏิบัติมาเยอะนะครับ ก็เข้าใจอย่างหนึ่งว่า พื้นฐานจิตใจที่ยังอ่อนไหวอยู่นี่ไม่เหมาะ ไม่เหมาะมากๆกับการฝึกอสุภกรรมฐานนะครับ จริงๆแล้วนี่ ผู้ที่เหมาะกับการฝึกอสุภกรรมฐานนี่ คือผู้ที่จะตั้งใจปลีกวิเวกถาวร คือไม่ได้ตั้งใจจะมาข้องเกี่ยวอะไรกับโลกอีก แล้วก็สร้างฐานของกำลังใจ สร้างฐานความตั้งมั่นของสมาธินะครับให้มั่นคงเสียก่อน

อันนี้มีเรื่องเล่านะครับ ในสมัยพุทธกาลนี่ ก็มีกลุ่มภิกษุนะครับ ที่ฟังคำเทศน์จากพระพุทธเจ้านะครับ เกี่ยวกับเรื่องของอสุภกรรมฐาน ท่านสรรเสริญมากเลยว่าอสุภกรรมฐานนี่จะทำให้ได้ฌานง่ายนะครับ เพราะจิตมันถอยจากไอ้ความยึดกายไปเสียแล้วนี่นะครับ มันละกิเลสได้ ไอ้หยาบๆได้เกลี้ยงเลยนะครับ ก็ง่ายที่จะแยกออกไปเป็นอิสระ ไปเป็นฌานนะครับ ไปมีความตั้งมั่นเป็นฌาน

แล้วก็ท่านก็สรรเสริญว่านี่ต่อยอดเป็นการเห็นกายไม่เที่ยง การเห็นกายโดยความเป็นของสูญของว่างเปล่าได้ไม่ลำบากนะครับ แล้วก็ได้ถึงมรรคผลนิพพานอย่างรวดเร็วนะครับ พอเห็นว่ากายไม่น่ายึดแล้วก็ได้ฌานแล้วนี่ ก็เฉียดใกล้กับนิพพานนิดเดียว ท่านๆสรรเสริญไว้มาก จนกระทั่งภิกษุนี่ อยากจะเจริญอสุภกรรมฐานกันมากนะครับในช่วงนั้น

ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านอยู่ในช่วงที่จะหลีกเร้นจากหมู่คณะพอดี ช่วงนั้นท่านก็ไปเจริญอานาปานสติอยู่ตามลำพัง มีพระอุปถากเพียงรูปเดียวที่เข้าไปถวายภัตตาหารแด่ท่านได้ ก็เลยปล่อยให้ภิกษุที่อยู่ในป่าช่วงนั้นนี่ก็เจริญอสุภกรรมฐานกันตามอัธยาศัย

ทีนี้พอด้วยอุบายที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นี่นะครับ โดยการพิจารณากายโดยความเป็นอสุภนี่ ภิกษุก็ทำกันได้นะครับ เห็นการโดยความเป็นซากศพ ท่านพรรณนาไว้นะครับ เหมือนกับเอาหมาเน่ามาแขวนคอ หรือว่านะครับ เห็นตัวเองนี่ เป็น คือลองจินตนาการถึงห้องส้วมที่อุจจาระ ปัสสาวะ มันถูกป้ายไว้ตามพื้น ตามผนังเรี่ยราดนี่นะครับ แล้วก็เราจะต้องเข้าไปอยู่ในนั้นน่ะเป็นชั่วโมงๆ หรือทั้งวัน ลองๆนึกดู

ท่านๆเห็นแล้วก็รู้สึกกันขนาดนั้น ก็เกิดความแหนงหน่าย ไมใช่แค่แหนงหน่ายธรรมดา สะอิดสะเอียนเกินกว่าจะทนนะครับ ก็ชวนกันฆ่าตัวตาย คือเหมือนกับไปจ้างวานใครเขามาฆ่าตัวบ้าง หรือว่าตอนแรก ไหว้วานเฉยๆ ไหว้วานนะครับพอไม่มีคนให้ไหว้วานก็ไปจ้างเขามาฆ่านะครับ แถวนั้นมีเพชฌฆาตอยู่พอดี ก็เลยรับจ้างฆ่าอะไรแบบนั้น

ปรากฏว่าฆ่ากันไปฆ่ากันมานะครับ ทนไม่ได้ เจริญอสุภกรรมฐานกันนะครับ จนทนร่างกายตัวเองไม่ได้เกือบจะหมดวัดเลยนะครับ พระพุทธเจ้าท่านออกจากที่เร้นมา สองอาทิตย์ผ่านไปนี่นะครับ ท่านออกจากที่เร้นมานะครับ เห็นภิกษุหายไปกันเยอะจากวัด ท่านเลยถามพระอานนท์ว่าภิกษุหายไปไหนกันหมดนะครับ พระอานนท์ก็บอกว่าฆ่าตัวตายกันไปหมดนะครับ บางทีก็จ้างวานคนอื่น บางทีก็ฆ่าตัวเองตายไป

พระพุทธเจ้ารู้เข้านะครับ ว่าเหตุที่ฆ่าตัวตายนั้นก็เพราะว่าเจริญอสุภกรรมฐานกันแบบไม่มีพื้นฐานนะครับ ท่านก็เลยเรียกประชุมหมูสงฆ์นี่นะครับ ทั้ง ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันก็ทั้งจังหวัดนะ ไม่ใช่เฉพาะในป่านั้นอย่างเดียวนะครับ ท่านเรียกประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่เลย มาบอกว่า ก่อนจะเจริญอสุภกรรมฐานนี่ ต้องทำให้จิตตั้งมั่นก่อน เจริญแล้วท่านก็เจริญ สอนให้เจริญอานาปานสตินะครับ สรรเสริญคุณอานาปานสติอย่างใหญ่หลวงเลย

แล้วก็บอกว่าการเจริญอานาปานสตินี่จะทำให้เกิดความสุข เกิดความสดชื่น แล้วก็สามารถที่จะบำบัดความรู้สึกไม่ดีให้ออกไปจากจิตใจได้โดยง่าย ความเศร้าหมอง ลักษณะจิตใจที่เป็นอกุศลอะไรต่างๆนี่มันจะถูกกำจัดไปโดยง่าย ด้วยความสุขอันเกิดจากอานาปานสติที่สดชื่น นะครับ การได้รู้สึกถึงลมหายใจจนกระทั่งเห็นลมหายใจได้ยาวยืดนี่ อันนั้นเป็นความสดชื่นที่ทุกคนที่ฝึกอานาปานสติสำเร็จจะได้รับประสบการณ์ตรงกัน

อันนี้ก็เป็นที่มา ที่ผมจะสรุปว่า ถ้าหากอยากจะเจริญอสุภกรรมฐานขอให้แน่ใจว่าตัวเองมีจิตที่ตั้งมั่น มีความสุข มีความสดชื่น อันเกิดจากการฝึกอานาปานสติให้ได้เสียก่อน นี่มาตามลำดับของสติปัฏฐานสูตรเลยนะ

ในสติปัฏฐาน ๔ นี่ พระพุทธเจ้าท่านยกเอาอานาปานบรรพ เป็นบทตั้งเลย เป็นตัวตั้ง แล้วท่านก็คะยั้นคะยอไว้หลายที่มากๆในพระไตรปิฎกนี่ จะเต็มไปหมดเลย บอกว่าอานาปานสติดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้

แล้วก็ถ้าหากว่าใครใคร่จะเจริญกรรมฐานชนิดไหน ก็ตาม อยากจะทำให้ถึงฌานขั้นปฐมฌานนะครับ หรือว่าทุติยฌาน หรือว่าจะเป็นอรูปฌาน หรือแม้กระทั่งพระอรหันต์ที่จะเข้านิโรธสมาบัติ ท่านก็บอกว่าให้เจริญอานาปานสติ ให้ใส่ใจอานาปานสตินี้ไว้ให้ดี ท่านตรัสไว้อย่างนี้นะครับ ตั้งแต่คนธรรมดาที่เริ่มฝึกหัดนี่ ที่รู้ได้แค่ว่าหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ ท่านก็สอนอานาปานสติ คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วจะเข้านิโรธสมาบัติ ท่านก็ให้ใส่ใจอานาปานสติ

คือไม่ใช่ว่าอานาปานสติทำให้เข้านิโรธสมาบัติได้หรือว่าอรูปฌานขั้นใดได้นะ ไม่ใช่นะ แต่ว่าเอาเป็นตัวตั้ง เอาเป็นตัวหลักที่ทำให้จิตมีความสามารถจะตั้งมั่น แล้วก็มีความสามารถจะเป็นผู้รู้ผู้ดูให้ได้เสียก่อน แล้วจึงเอาจิตที่มีความตั้งมั่นแล้วนั้นไปเจริญกรรมฐานต่างๆ นี่คือสิงที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในครั้งพุทธกาล

แต่สมัยนี้ไม่ค่อยจะสอนกัน นะครับ คำถามนั้นก็บอกว่า ถ้าจะใช้ขณิกสมาธิเป็นฐาน อย่างนี้พอไหม? ก็พูดถึงอสุภกรรมฐานนี่ อ๋อ! เดี๋ยวๆ คำถามของน้องนะครับ บอกว่าหรือถ้าไม่ทำอสุภกรรมฐานนี่ จะเจริญสติในชีวิตประจำวัน ทำในรูปแบบไปใช้ขณิกสมาธิเป็นฐานในการเห็นไตรลักษณ์ก็พอแล้วไม่ต้องฝึกอย่างอื่นนะครับ

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คือคนส่วนใหญ่เข้าใจคำว่าขณิกสมาธิกันผิดนะครับ ขณิกสมาธิ ไม่ใช่สมาธิที่เกิดเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป อย่างที่หลายๆคนไปจำเอาจากนิยามขณิกสมาธิ ถ้าโดยรูปศัพท์นี่โดยนิยามนะครับ หมายถึงสมาธิที่เกิดขึ้นชั่วขณะ แต่จริงๆแล้วเราต้องนึกถึงความตั้งมั่นจริงๆ ตั้งมั่นในแบบที่มีความสามารถรู้ มีความสามารถเห็นกายนี้ ใจนี้ โดยความเป็นอนิจจัง โดยความเป็นอนัตตา เราต้องเห็นอย่างออกมาจากความตั้งมั่นจริงๆ ขณิกกะ หมายความว่า เราอยู่แป๊บหนึ่งนะครับ ไอ้ความเห็นนั้นน่ะแป๊บนึงแล้วก็หายไป ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นชั่วครู่นะครับ เป็นสมาธิแบบไหนก็ได้ แล้วก็จะเอา มาใช้ทำกรรมฐานอะไรแบบนั้น

ความหมายจริงๆแล้วนี่ ในยุคพุทธกาลท่านไม่พูดนะครับ ไม่พูดกันเลย เรื่องของขณิกกะ ไม่พูดกันเลยเรื่องของอุปจาระ แต่มันเป็นภาวะที่มีจริงๆนะ เป็นภาวะที่ตรงกับประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติทุกคน ท่านจะพูดถึงการเจริญสติมากกว่าว่าให้ดูอะไร เริ่มต้นดูอะไร ดูอันนั้นเสร็จแล้วดูอะไรต่อ คือพอใจเรานี่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะดูอะไรบ้าง มันไม่ไปคำนึงว่าไอ้ตรงนี้เราได้มาถึงขั้นไหนนะครับ มีสมาธิเรียกว่าเป็น ขณิกกะหรือว่าอุปจาระนะครับ

แล้วก็คือ นักปฏิบัติยุคนี้นะครับ เท่าที่เห็นนี่ อันนี้เห็นโทษของการ หมกมุ่น หรือว่าพูดเรื่องของขณิกสมาธิ หรือว่าอุปจาระสมาธิ หรือว่าฌานนะครับ ก็คือว่าจะมัวแต่คำนึงถึงว่าเราได้สมาธิมาขั้นไหนกันแล้ว และสมาธิขั้นนั้นเอาไปเจริญกรรมฐานใดได้บ้าง ซึ่งมันทำให้หลงกันอย่างมากเลยนะครับ คือไปตัดสินตัวเองว่าถึงระดับใด เหมาะควรแก่กรรมฐาน คู่ควรกับกรรมฐานแบบไหนนะครับ แล้วก็สับสนกันไปสับสนกันมาอยู่นั่นแหละ ว่าจะเอาอย่างไรดี

จริงๆแล้วถ้าหากว่าเรามีแผนที่ที่ชัดเจนนะครับ เรามีหลัก เรามีที่เกาะอย่างชัดเจนนะครับ มีเครื่องอยู่ของสติที่ชัดเจนว่า เมื่อไหร่นึกขึ้นมาได้ ถามตัวเองถูกไหมว่ากำลังหายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่ หายใจมันสั้นหรือยาว นั่นแหละถ้าได้ความเคยชิน สร้างความเคยชินที่จะให้สตินี่ผูกอยู่กับลมหายใจเป็นหลักนะครับ จากนั้นเราเอาไปพัฒนาต่อได้หมดเลย เราก็ดูต่อว่าไอ้ที่กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่นี่ มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ อึดอัดหรือว่าสบาย จิตสงบหรือว่าฟุ้งซ่าน มีปีติหรือว่ามีความหดหู่ สามารถดูได้ไม่ขาดสาย ดูได้เรื่อยๆ

แล้วก็ ขออย่างเดียว ทำความเข้าใจให้ชัดเจนนะว่า อานาปานสติไม่ใช่การจ้องลมหายใจท่าเดียว แต่เป็นการดูว่าในแต่ระลอกลมนี่นะครับ มันมีอะไรให้ดูได้บ้าง ถ้าฝึกมาตามลำดับขั้นได้ยิ่งดีนะครับ คือจริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เหมือนกับให้ดูแหละว่าไอ้ที่เดี๋ยวยาวบ้างเดี๋ยวสั้นบ้าง ไอ้ลมหายใจนี่มันไปถึงจุดหนึ่ง ถ้าจิตเป็นอัตโนมัติ ร่างกายเป็นอัตโนมัตินะครับ ควบคู่กันไปได้นี่ มันจะเหมือนกับเรากำลังชักรอก แล้วก็ชักรอกอย่างมีความฉลาดว่าจะผ่อนสั้นผ่อนยาวอย่างไรนะครับ เห็นลมหายใจชัดเจน แล้วก็เอาตัวลมหายใจนี่เป็นเครื่องอยู่เป็นที่ตั้งของสมาธิ มีความตั้งมั่นนะครับ

การที่จิตมีความตั้งมั่นจริงๆนี่ มีความสำคัญมาก ถ้าหากว่าเราจะนิยามความตั้งมั่นแบบง่ายๆก็คือจิตนี่มีความเคยชินที่จะอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นโทษ อยู่กับสิ่งนั้นนานๆแล้วนี่เกิดความสว่าง จิตเกิดความนุ่มนวล จิตเกิดความสบาย จิตเกิดความพร้อม มีประสิทธิภาพพอที่จะเห็นตามจริงว่ากำลังปรากฏอะไรให้ดู ภายในขอบเขตสภาวะของกายของใจ

ถ้าหากว่าเราจะเอานิยามของความตั้งมั่น ความเป็นฌาน โดยความเป็นขณิกกะ โดยความเป็นอุปจาระนี่ มันก็มัวแต่สำรวจอยู่นั่นแหละนะครับ แล้วก็สมาธิของคนเมืองนี่นะครับ มันก็ล้มๆลุกๆเป็นสิบๆปีนั่นแหละ มันไปไม่ถึงไหนหรอกนะครับ ถ้าเราจะมามัวกังวล มาพะวงกันว่าถึงสมาธิระดับไหนแล้ว ควรจะเอาไปใช้ทำกรรมฐานใดนะครับ



๒) ต้องทำเหตุปัจจัยอะไรเกิดมาจึงได้บวชตั้งแต่เด็ก?

ก็ไม่แน่นอนนะครับบางคนนี่ที่ระลึกชาติได้ ท่านก็เล่าให้ฟัง ว่าอดีตท่านเป็นพระมาทั้งชีวิตเลย แต่ว่าเกิดใหม่นี่มันไม่มีจิตใจอยากจะไปบวชอีกแล้ว มันเกิดความเบื่อหน่าย มันเห็นเป็นชีวิตๆ ว่าชีวิตชองนักบวชที่ไม่ประสบความสำเร็จนี่ มันก็บวชทั้งชีวิตไม่ได้ทำอะไร

แล้วเสร็จแล้วชาตินี้เลยอยู่แบบสบายๆ ล่องลอยนิดนึงนะครับ มันไม่ใช่ว่าจะมีเหตุปัจจัยว่าเคยบวชมานานแล้วอีกชาตินึงจะต้องได้บวชอีก ยกเว้นแต่ว่าถ้ามีความเพียรในการบวชจริงๆ

อย่างในสมัยพุทธกาลนี่ ท่านบวชเอาชีวิตเข้าแลกเลย คือเดินจงกรมทั้งวัน นั่งสมาธิทั้งวันสลับกัน จนกระทั่งตัวตายนะครับ ตายในขณะที่กำลังปฏิบัติธรรม อยู่ในทางจงกรมมั้งถ้าผมจำไม่ผิดนะ รู้สึกท่านจะมรณภาพในขณะที่เดินจงกรมอยู่ หรืออะไรทำนองนี้แหละ

แล้วเสร็จแล้วก็พอจุติจากโลกนี้แล้ว เคลื่อนจากโลกนี้แล้ว ไปอุบัติบนสวรรค์นะครับเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าบริวารมากมาย ท่านยังจำความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร ในสภาพปรุงแต่งได้ แม้ได้สภาพความเป็นทิพย์ท่านก็ไม่ตื่นเต้น เพราะว่าเมื่อครั้งท่านยังบวชเป็นภิกษุอยู่ เป็นมนุษย์อยู่นี่ ท่านรู้จักมาหมดแล้ว สุขอันเป็นทิพย์นะครับ สวรรค์ นรก อะไรท่านเห็นมาหมดแล้ว แล้วท่านก็ไม่ยินดียินร้ายเนื่องจากสะสมอนิจจสัญญามามากนะครับ เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นนี่ไม่เที่ยง แม้ท่านไปเสวยสุข มีทิพยสมบัติ มีนางฟ้าบริวารมากมาย ท่านก็มองเป็นแค่เพียงเครื่องล่อให้ติด

คือไม่ใช่ว่าท่านไม่ยินดีนะครับ ท่านรู้ว่าท่านจะยินดีถ้าเผลอหลงไปนะครับ มันมีสภาพใหม่อันเป็นเรียกว่าเครื่องล่อให้เย้ายวน ให้น่าติดน่าหลงนะครับ เอาเป็นว่ายิ่งกว่าลูกสุลต่าน ลองนึกดูว่าถ้าได้เกิดในวังของสุลต่านที่มีทั้งรถยาวๆ มีทั้งเครื่องบินเจ็ต มีผู้หญิงให้เลือกได้ไม่ซ้ำหน้าในแต่ละวัน เอ๊าะๆ ไปจนถึงผู้หญิงที่ตัวเองจะชอบแค่ไหนก็ตามนี่ สามารถที่จะมีได้ไม่เลือก มีได้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยงว่าหามาได้ลำบากยากเย็นแค่ไหน อันนี้ถ้าเรามองว่าน่าติดใจมากแล้วนี่ บนสวรรค์ยิ่งกว่านั้นนะครับ

แล้วท่านก็มองว่ามันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเครื่องล่อให้ติดอยู่ หลงอยู่ในสังสารวัฏต่อ ท่านก็เลยกำหนดจิตนะครับ บอกกลั้นอัสสาสะ-ปัสสาสะ เทวดามีลมหายใจนะครับ ถ้าพอกลั้นอัสสาสะ-ปัสสาสะได้นี่แล้วกำหนดว่าจะมาบวช มาเกิดเพื่อบวช ด้วยจิตที่มันใหญ่อย่างนั้นนะครับ ถือกำเนิดด้วยจิตที่มีความตั้งมั่นว่าจะเอาจริงในทางบวชต่อนะครับ ก็เลยเกิดมาในตระกูลที่สนับสนุนส่งเสริมในทางนี้ แล้วท่านก็ได้มาอยู่กับพ่อแม่ที่มีความนับถือเลื่อมใสพุทธศาสนานะครับแล้วก็เกิดมาแค่ ๗ ขวบนี่ ท่านก็บวชเณรเลย แล้วท่านก็สามารถที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งนะครับ โดยที่อายุยังน้อยนะครับ นี่ก็เป็นเรื่องเล่า ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ในชั้นอรรถกถา คือไม่ใช่ชั้นพระไตรปิฎกนะครับ

นี่ก็เป็นตัวอย่างว่า ตัวอย่างของจริงในภาคสนามว่าคนที่เขาเกิดมากันนี่ ที่มีบุญได้บวชตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเคยบวชมาก่อนอย่างเดียวนะครับ แต่ต้องมีจิตที่จดจ่อจะมาตรงนี้จริงๆด้วย มันถึงมีการวางแผนไว้นะครับ มีกรรม กรรมเก่าวางแผนให้ว่าจะมาเกิดที่ไหน พ่อแม่คู่ใด แล้วมีเหตุปัจจัยบีบคั้น หรือว่ามีแรงบันดาลใจอันใดที่จะทำให้ได้กลับมาบวชอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่เด็กนะครับ



๓) การที่เราไม่รับแอดเพื่อนบนเฟสบุ๊ค ด้วยเหตุผลที่เราไม่ชอบชื่อ หรือรูปประจำตัวของเขาที่มาแนวหงอยเหงาเป็นคลื่นรบกวนจิตใจ แต่รู้สึกผิดอยู่ลึกๆเพราะเคยอ่านงานของพี่ ที่ว่าเมตตาแก่ผู้หงอยเหงาก็เป็นบุญ

คืออย่างนี้ คือการที่เราคิดจะช่วยใครนี่ อันนี้เป็นบุญ แต่การที่เราหลีกเลี่ยงไม่คบหาใคร ก็ไม่ใช่บาปเหมือนกันนะครับถ้าเรารู้ตัวว่าเรายังถูกกระทบกระเทือนจากคนบางคนได้ คนแบบหนึ่งๆได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่เรื่องบาปอะไร

แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสนะครับว่า การที่เราจะมีความเจริญก้าวหน้าในทางการเจริญสติ หรือการทำสมาธิอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในช่วงฝึกสมาธินะครับ ควรที่จะคบหาผู้ที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง มีกุศล มีความสว่าง เพราะว่าของแบบนี้นี่มันสื่อกันได้ มันแลกเปลี่ยนกันได้ มันสามารถที่จะแบ่งส่วนของกันและกันนะครับ มาเป็นกระแสในตนได้

กระแสของคนอื่นนี่นะครับเสพมากๆหรือว่าสัมผัสมากๆมันซึมซับเข้ามาในตัวเราได้นะครับ ถ้าหากว่าเราหลีกเลี่ยงคนประเภทที่จะมาแนวเหงาเพราะเรายังไม่พร้อมที่จะเอาความอบอุ่นไปเผื่อแผ่เขา ก็ไม่ใช่ความผิดไม่ใช่ความบาปอะไร แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่เราน่าจะต้องมารู้สึกผิด แต่ถ้าหากว่าเราพร้อมแล้ว แล้วก็มีความสงสารเขา ตรงนั้นก็ถือว่าได้ทำบุญนะครับ ไม่ใช่สิ่งที่ว่าเราจะต้องมาลำบากลำบนใจอะไรนะครับ



๔) มีเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันคนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งตอนเรียนหรือจนจบมาแล้วหกปีก็แทบไม่ได้เคยพูดคุยติดต่อกัน วันก่อนอยู่ดีๆเพื่อนคนนี้ก็โทรมาเล่าว่าเขาเป็นโรคทางจิตเวช ชื่อว่าไบโพล่า ดิสออร์เดอร์ (Bipolar Disorder) นะครับ เลยอยากให้เป็นที่ปรึกษา แต่เห็นแปลกๆเลยปฏิเสธ และเลี่ยงที่จะสนทนา แต่กลายเป็นว่าเขาโทรมาไม่หยุด บางทีถ้าไม่รับสายก็โทรมาเป็น ๒๐ มิสคอลหรือส่งข้อความมาถี่ๆแทบทุกนาที เขาบอกว่าเขาชอบและอยากแต่งงานด้วย บอกว่าเป็นเนื้อคู่เขา ทั้งๆที่เขาทราบว่ามีแฟน และแฟนก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเขาด้วย ตอนนี้เป็นทุกข์มาก รู้สึกกลัวและกังวล กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายเราและคนใกล้ชิด และไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้น ทั้งๆที่แทบไม่เคยคุยกัน และแทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาชอบหรือถูกใจอะไร แต่ด้วยพื้นความเชื่อในกฎแห่งกรรม จึงอยากเรียนถามว่าเคยไปทำวิบาก อันนี้ต้องใช้คำว่าเคยไปทำกรรมอะไรมานะครับ จึงต้องเจอคนโรคจิตแบบนี้?

เอาล่ะ ก่อนอื่น คือต้องเข้าใจเสียก่อน ว่าคนเรานี่ไม่ได้พูดกัน ไม่ได้แปลว่าไม่ได้คิดถึงกัน ไม่ได้มาเปิดเผยความในใจ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความในใจนะครับ คนบางคนใช้เวลาเป็นปีๆเฝ้าครุ่นคิดถึงอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ท่าเดียวนะครับ อยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่ปล่อยอะไรออกมาสักแอะเดียว ก็ขอให้มีความเข้าใจก็แล้วกัน ว่าเราเกิดมาในโลกนี้นี่นะครับ เจอกับคนที่คิดมากแล้วก็คิดแบบแอบคิดอยู่มากมายก่ายกองนะครับ แล้วเราไม่รู้หรอก จนกว่าเขาจะถึงจุดที่ปริ่มๆนะ ใกล้จะระเบิดออกมานะ

อย่างกรณีของรายนี้นี่ เขาไปคิดมากอะไรก็ไม่ทราบ แต่เราทราบว่าถึงจุดหนึ่งเขามาทึกทักอะไรมากมาย ซึ่งการที่หลบเลียงไม่ไปปฏิสังสรรค์อะไรแบบนั้นนี่ ก็ทางหนึ่งนะครับ คือการที่ไม่รับโทรศัพท์เลยโดยที่เราเอาเข้าแบล็กลิสต์ไปเลย หรือไม่ก็เรามีวิธีอย่างไรก็ตามที่จะพูดกับเขาตรงๆนะครับ พูดกับเขาอย่างนุ่มนวล ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว และอยากให้เขาได้เข้าใจเสียใหม่ ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอยู่นี่ มันอาจจะเป็นแค่ไอ้คลื่นรบกวนจากทางร่างกายก็ได้นะครับ อย่างบางคนนี่ เคมีในสมองหลั่งมาก มันก็เกิดอาการหลอน มันก็เกิดอาการคิดนู่นคิดนี่ ทึกทักไป สำคัญผิดไปต่างๆนานานะครับ

ซึ่งบางทีเราไปพูดกับเขาตรงๆแบบนี้เขาก็จะเกิดอาการคลุ้มคลั่งหนักขึ้นนะครับ แต่ทางที่เราจะสามารถพูดให้เขารู้สึกตัวได้ก็คือว่า นี่น้า เวลาที่เขาพูดอะไรไม่ตรงความจริงออกมาเราค่อยๆพูดไปนะครับ ค่อยๆพูดด้วยความใจเย็น เพราะปกติพอเราเจอคนประเภทนี้นี่ เราจะกลัวและพูดออกไปในลักษณะที่ทิ่มแทง ทำให้เขาเกิดความรู้สึกย่ำแย่หรือว่า โดยไม่รู้ตัวนะครับ ท่าทีหรือน้ำเสียงของเรานี่มันทำให้เขารู้สึกว่า เอ! เราผิดปกติอะไรหรือเปล่านะครับ ถึงไปทำกับเขาแบบนั้น อะไรอย่างนั้น เราต้องใจเย็นนิดหนึ่ง มีความนุ่มนวล ค่อยๆปรับโทนจิตของเขาให้มีความนุ่มนวลตามจิตของเราผ่านคำพูด ผ่านการคัดเลือกวิธีการที่จะอธิบายนะครับ อันนี้คงจะอธิบายสั้นๆได้แต่เพียงเท่านี้นะครับ


เอาล่ะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น