สวัสดีครับทุกท่านวันนี้วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อจะทักทายไถ่ถามเข้ามาในรายการนะครับ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/dungtrin
๑) เรื่องของฤกษ์ยามต่างๆเช่น ฤกษ์แต่งงาน ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ฤกษ์ออกรถ รวมถึงปีชง สีที่ถูกโฉลก ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และในสมัยพุทธกาลนี่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้างนะ?
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ตรงๆ แต่เคยมีพระเถระรูปหนึ่งนะบอกไว้ว่า ถ้าความพยายามของมนุษย์นี่นะ เป็นชาดก บอกว่าความพยายามของมนุษย์นี่ แม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถทำนายผลได้ ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร คือในความหมายที่ว่า ถ้า มีดวงจากท้องฟ้าบอกไว้แล้วว่า เดี๋ยวฝ่ายหนึ่งจะรบชนะ เอ้อ อีกฝ่ายรบชนะ พอรู้เข้าก็เกิดความเหลิงแล้วก็ไม่เตรียมตัวให้ดีนะ ฝ่ายแพ้นี่ก็นึกว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ไหนๆจะต้องแพ้ก็พยายามเต็มที่ ปรากฏว่าผลออกมา ฝ่ายที่เตรียมตัวและถูกทำนายว่าจะแพ้นี่ กลับเป็นฝ่ายชนะเสียนะ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องของฤกษ์งามยามดีนะครับว่า เมื่อใดที่คิดดี เมื่อใดที่พูดดี เมื่อใดที่ทำดี เมื่อนั้นแหละ เป็นฤกษ์ของความดีในตัวเองนะ ไม่ต้องไปสนใจว่าดวงดาวให้จังหวะให้ผลหรือยัง ในแง่ของกรรมดีนะ แต่ในแง่ของการออกหัวออกก้อย ว่าวิบากจะให้ผลดีผลร้ายอย่างไรนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสถึง แต่จะพูดไว้กว้างๆนะครับว่า ถ้าวิบากจะให้ผลนี่ ก็จะส่งผลให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเกิดเลยทีเดียวแหละ ว่าจะต้องมาอยู่กับพ่อแม่คู่ไหนนะ จะต้องมามีภาวะที่หยาบหรือประณีตนะครับ ว่าจะโชคดีโชคร้าย คือมีชะตาอย่างไรนี่ ถูกวางแผนไว้โดยวิบากเก่าที่ทำมาทั้งชาติในอดีต ไม่ใช่ว่าทำแป๊บๆ แล้วจะเกิดมาเป็นอย่างไรอย่างหนึ่ง
เช่นกันนะครับคือหลายคนเข้าใจว่า ทำบุญอะไรอย่างหนึ่งแล้วจะไปล้างกรรม หรือว่าไปทำให้อะไรๆมันดีขึ้นได้ แบบเห็นผลทันตา อันนี้ก็เป็นความเข้าใจที่ผิด มันไม่มีที่ทำบุญปุ๊บ ทุกอย่างสามารถถูกแก้ถูกล้างได้ เพราะอย่างบางคนนี่ไปทรมานนักโทษ ไปทรมานผู้คนไว้ทั้งชีวิตด้วยความสนุกสนาน เสร็จแล้วเกิดมา คืออาจจะเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิมา ไม่รู้กี่ขุมน่ะนะ กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งด้วยบุญที่เคยทำไว้ก่อน ก็คงไม่มีใครคาดหมายน่ะนะครับว่า คนที่ทำกับคนอื่นไว้ทั้งชีวิตนี่ พอมาทำดี ทำสังฆทานแค่ครั้งสองครั้ง หรือว่าปล่อยสัตว์ ปล่อยปลาแค่ตัวสองตัว แล้วจะไปลบล้างการที่เคยทรมานนักโทษ หรือว่าทรมานผู้คนด้วยความสนุกสนานไว้ทั้งชาติได้ ก็ภาพมันไม่เสมอกัน
ลองนึกเป็นภาพที่ชั่วนาตาปี เป็นสิบๆปี ยี่สิบปี นี่นะ เอาอะไรต่อมิอะไรไปทิ่มแทงให้คนเขามีความเจ็บปวด ให้เลือดสาด เสร็จแล้วจะมาปล่อยปลาตัวสองตัวนี่มันย่อมไม่ได้น้ำหนักเดียวกันแน่นอน
ทีนี้คือถ้าพูดถึงในเรื่องฤกษ์ยามนะ ถ้าหากว่าเรามองเรื่องโหราศาสตร์ที่แม้แต่ในสมัยพุทธกาลนี่นะ ที่พระพุทธเจ้าประสูติมา ก็มีการให้โหราจารย์ หรือผู้ที่มีความสามารถในการพยากรณ์ลักษณะ ก็ยังมีนะที่บันทึกว่า นี่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ ที่จะต้องได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือไม่ก็เป็นพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งนะ
พระโกณฑัญญะ ท่านเป็นเหมือนกับเป็นผู้ทำนายโหงวเฮ้งน่ะ พูดกันให้เข้าใจง่ายๆเลย ผู้ทำนายโหงวเฮ้งคนเดียวที่ฟันธงเลย ว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่มีทางเป็นพระเจ้ามหาจักรพรรดินะครับอันนี้ก็คืออาจจะมาเทียบเคียงได้ว่าเรื่องฤกษ์ยาม เรื่องของลักษณะนะ รูปลักษณะ รูปโฉมโนมพรรณ อะไรต่างๆนี่ มันมีส่วนบอกว่าวิบากเก่าเคยทำไว้อย่างไร แล้วจะถูกวางแผนไว้ให้เกิดผล เป็นทุกข์หรือเป็นสุขประมาณใด จะได้มีบทบาทสำคัญในโลกนี้แค่ไหนนะ ก็อาจจะเรียกว่าถูกฝังไว้ในดีเอ็นเอนะ
คือปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เริ่มรู้เป็นเขาเป็นเงาแล้วว่า ทุกอย่างถูกวางแผนไว้ในดีเอ็นเอ แม้กระทั่งว่าใครจะประสบอุบัติเหตุบ่อย หรือว่าใครจะต้องตายอายุประมาณไหนนี่ เขารู้แล้วว่าจะต้องถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ในระดับดีเอ็นเอเลย ก่อนเกิดคือยังไม่ทันออกจากท้องมานี่นะ รู้เลยว่าจะหน้าตาดีหรือหน้าตาขี้เหร่ นี่ก็มีความพยายามที่จะผ่าตัดดีเอ็นเอนะ ว่ากันว่าใครสามารถทำได้นี่ ก็แทบจะเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ทีเดียว เพราะว่าไปแก้กระบวนการ ที่วางแผนไว้ในระดับของเคมีชั้นเล็กสุดนะครับ
ที่ว่ากันว่ามีใครสักคนหนึ่งนะ ได้ออกแบบไว้ ในพุทธศาสนาเราก็คือว่า กรรมได้ออกแบบไว้ในตั้งแต่ระดับของดีเอ็นเอเลย ว่าจะได้เกิดมาเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาดีแค่ไหน จะมีชะตาชีวิตระหกระเหิน หรือว่ามั่นคงอบอุ่นเพียงใด ทุกอย่างถูกวางแผนไว้เรียบร้อย
ทีนี้ถ้ามาพูดถึงปีชง มาพูดถึงสีที่ถูกโฉลกอะไรต่างๆนะ ก็อาจจะบอกได้ว่า โอเคปีชงหมายถึงปีที่โชคร้าย หรือว่าดวงมันจะกดให้ลงต่ำนี่น่าจะมีจริง เพราะว่าเวลาวิบากเขาวางแผนนี่ เขาวางแผนไว้อย่างละเอียดนะ โดยถ้าหยาบที่สุดนี่ก็บอกว่า ต้นชีวิต กลางชีวิต กับปลายชีวิตนี่นะ จะได้พบกับความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน แล้วมันก็ยังมีการแบ่งลงไปอีกว่า แต่ละปีนี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นต้นชีวิตเหมือนกัน แต่ละปีมีความสุขมากหรือสุขน้อย มีความทุกข์มากหรือทุกข์เบาเพียงใด อย่างนี้ก็มีการซอยแบ่งไว้ชัดเจน
ทีนี้ถ้ามองในแง่ของกรรมใหม่ ที่พุทธศาสนาส่งเสริมให้เราทำความเข้าใจแล้วก็มองเห็นค่าความสำคัญของกรรมใหม่ ก็คือไม่ว่าของเก่าจะออกแบบไว้ วางแผนไว้อย่าง เออ เรียกว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราสามารถสร้างสติด้วยกรรมใหม่ ทำให้ชีวิตเปรียบเสมือนมีเกราะแก้วกำบัง ไม่ให้ความทุกข์เข้าถึงจิตถึงใจ หรือเข้าถึงจิตถึงใจแล้วกระเด้งออก ไม่อยู่นานนัก ไม่ครอบงำจิตใจอยู่นานนัก อันนี้ก็จะเป็นดวงใหม่ จะเป็นของจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ เห็นได้ ประจักษ์ใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องวิบากเก่า ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องโหราศาสตร์ใดๆ ก็สามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งปวงนะ
ร่างกายจะมีความทุกข์อย่างไร โดนทรมานอย่างไร แต่จิตใจก็ยังมีเมตตาอยู่ ยังมีความรู้สึกไม่อยากเบียดเบียนอยู่ มีความรู้สึกว่า เออ นี่มันเป็นแค่ลักษณะที่มาประชุม ประกอบกันชั่วคราวนะ ตา มาประจวบกับรูปที่ไม่ดี หู ไปประจวบกับเสียงที่ไม่น่าฟัง ร่างกายนะ ไปประจวบกับของแหลมทิ่มแทง หรือว่าของร้อน ของที่มันไม่น่าสบายเนื้อสบายตัวนี่นะ ทั้งหลายทั้งปวงนี่มันก็เป็นแค่การประชุมประกอบกันชั่วคราว
แล้วถ้าหากว่า ใจไม่มีแม้กระทั่งความคิดร้ายๆเข้ามากระทบแล้วครอบงำได้ ใจมีอาการที่ทรงสติ รู้อยู่ว่าอะไรๆผ่านมาแล้วต้องผ่านไป ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว พระพุทธเจ้าตรัสเทียบนะ ไม่มีแม้กระทั่ง เศษดินสักก้อนเดียวที่มันจะคงอยู่ได้ถาวร ถ้าเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ทราบอย่างนี้ นั่นแหละคือ ฤกษ์ ที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นฤกษ์แห่งความเข้าใจ เป็นฤกษ์แห่งปัญญา เป็นฤกษ์แห่งความสว่าง เป็นฤกษ์แห่งความสุข อันจะนำไปสู่บรมสุข คือนิพพานในที่สุด นะครับ
๒) เพื่อนเป็นผู้หญิงอ้วนมาตั้งแต่เกิด พอโตมาก็ยังอ้วนอยู่ ทานอาหารอะไรไม่ได้มากเลย เพราะทานเข้าไปแค่นิดเดียวก็จะอ้วนขึ้น ก็ทรมานกับความอ้วน แล้วก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ฝากถามว่ากรรมอะไรที่ทำให้มีรูปร่างอ้วน ทำให้อยากทานอะไรก็ไม่ได้ทาน ไม่มั่นใจในตัวเอง และต้องทำกรรมใหม่อะไรที่ชาติหน้าจะได้ไม่เกิดมาอ้วนอีก?
คือถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปทรง เกี่ยวกับลักษณะทางกายที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเองนี่ มันมีกรรมอยู่หลายอย่าง ที่ทำให้มีอันเป็นไปเช่นนั้น อย่างถ้ามีอยู่ในพระคัมภีร์ก็ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นว่า คนที่ขาสั้น จะเป็นพวกที่เคยไปมีความกระด้างกระเดื่อง หรือว่ายกตนข่มท่าน หรือว่ามีความอวดโอหัง หรืออย่างลักษณะพวกตาส่อน ลักษณะพวกอะไรที่มันเกี่ยวกับ ที่ทำให้ตามันไม่น่าดู ไม่ดูดีอะไรต่างๆนี่ เพราะว่าเคยเล็งแลคนไว้ด้วยสายตาที่ผูกโกรธนะ ไปจ้องให้เขากลัว อยากจะให้เขารู้สึกว่าตัวเองน่าเกรงขามอะไรแบบนั้น นี่ก็เป็นตัวอย่างว่าลักษณะที่ไม่น่าพึงพอใจ ล้วนแล้วแต่เกิดจากบาปจากกรรม
ถ้าหากว่าเรามองอย่างนี้ว่า ความอ้วนเป็น บางคนนี่ คือต้องยอมรับตามจริงว่าถึงจะกินน้อยหรือกินมากก็อ้วนอยู่ดี เขาก็อ้วนมาตั้งแต่เกิด คืออ้วนกรรมพันธุ์ คือถ้าอ้วนกรรมพันธุ์นี่ จะถึงอย่างไรก็จะไม่ค่อยจะลด ทรงก็จะอยู่อย่างนั้น ก็อาจจะในลักษณะที่ทำอะไรเกินๆนะครับ ลักษณะที่มันจะทำให้คนเขารู้สึกไม่ดี แล้วก็มีอะไรที่มันเกินๆมา อย่างภาระเกินๆ หรือว่าทำอะไรที่มันน่าเกลียดแบบเกินๆ คงจะเข้าใจแหละนะว่า เวลาคนเรานี่อยากจะทำอะไรโชว์พาว หรือว่า แสดงอำนาจข่มคนอื่น บางครั้งบางคราวมันทำอะไรน่าเกลียดได้มากมาย
หรือไม่ก็บางที อยากจะอวดอยากจะมี เขาเรียกว่าอะไรนะ มีลักษณะการกระทำอะไรที่ทำให้คนเขารู้สึกว่านี่ใหญ่ อะไรแบบนั้นน่ะนะ มันก็มีผลได้ทางร่างกาย ซึ่งในร่างกายนี่นะ โดยมากแล้วจะต้องเป็นวิบากที่เกี่ยวกับกรรม ที่ทำมาเป็นประจำ คือเป็นนิสัย ติดเป็นนิสัย จะมีข้อยกเว้นอยู่น้อยที่เกี่ยวกับผู้ทรงคุณนะครับ อย่างเช่นถ้าหากว่า กราบไหว้ผู้ทรงคุณอย่างพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า ด้วยความเคารพ ด้วยความศรัทธาเพียงไม่กี่ครั้ง ก็มีสิทธิ์ที่จะบันดาลให้เกิดรูปงาม ในชาติต่อๆมาได้นะ ไม่ว่าจะเป็นรูปงาม ที่อาจจะงามไม่เสร็จหรืองามไม่หมดจด เพราะว่ากิริยา หรือว่าวาจา หรือว่าความคิด การกระทำอะไรต่างๆนี่ โดยทั่วไปไม่ค่อยจะดีเท่าใดอะไรแบบนี้
ก็สรุปง่ายๆก็คือ ถ้าหากว่าเรามีรูปร่างที่ไม่น่าพอใจ นะครับ อาจจะด้วยสิ่งที่เราลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรมา ก็ขอให้จำได้ก็แล้วกันว่า ปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ นะ อย่างเช่นในคำถามก็บอกมาอยู่แล้ว ทานอะไรเข้าไปนิดเดียวจะอ้วนขึ้น ก็ให้ศึกษา ปัจจุบันนี่ มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารนะครับ ค่อนข้างจะมากทีเดียวว่าอาหารชนิดไหนกินเข้าไปแล้ว ไปกระตุ้นความอ้วนขึ้นมา ไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสาร หรือว่าทำให้เกิดการสะสมอะไรต่างๆนี่นะ ที่จะทำให้งอกส่วนเกินออกมาโดยที่ไม่สามารถจะทำให้ยุบกลับไปได้โดยง่าย ก็ศึกษาแล้วก็ระมัดระวัง เพราะว่าเรื่องของกรรมนี่นะ มันไม่สามารถที่จะ เอ๊ะ มาว่า เอ้ย ทำกรรมอะไรแล้วไม่อ้วนในชาติปัจจุบัน เพราะว่าของที่ถูกวางแผนไว้ ที่มันปรากฏเป็นลักษณะของกายนี่ อันนี้จำเป็นคีย์เลยก็คือว่า มักจะมาจากกรรมที่ทำมาเป็นประจำ ทั้งชาตินะครับ ก็คงจะไม่มีว่าเราไปทำบุญอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมันลดความอ้วนได้ แต่ว่าความรู้และการศึกษาเรื่องการลดความอ้วนนั่นแหละ อันนี้เป็นของตรงเลย ที่จะทำให้เกิดการควบคุมแล้วก็มี อาจจะไม่ได้ผลน่าพอใจถึงที่สุด แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ผลไม่พึงประสงค์ ไม่แย่เกินกว่าที่เป็นอยู่
๓) ถ้าคุณดังตฤณมีเงินใส่บาตรเจ็ดร้อยบาทต่ออาทิตย์ คุณจะเลือกข้อไหน
หนึ่ง ใส่บาตรพระทั่วไปวันละร้อยบาท
สอง ใส่บาตรพระป่าหนึ่งวันต่ออาทิตย์ คือเจ็ดร้อยบาท คือหนึ่งวันนี่เจ็ดร้อยบาทเลย สมมติให้โอกาสเจอพระป่ามีแค่หนึ่งครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุญที่ควรทำ บุญที่จะทำได้ผลใหญ่ บุญที่จะทำให้เกิดความลดการตระหนี่ลงได้ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการทำทาน คือทำเมื่อมีโอกาส ทำเมื่อมีความเลื่อมใสที่จะทำ
หมายความว่ามีความปลื้ม มีความอยากอนุเคราะห์ มีความอยากที่จะช่วยเหลือคนจริงๆนะ ไม่ใช่อยากได้บุญ เพราะว่าการทำทานด้วยความอยากได้บุญ มันไม่ใช่การลดความตระหนี่ มันไม่ถูกจุดประสงค์ มันเป็นการที่เราตั้งใจลงทุนนะครับ ซึ่งได้ผลนะไม่ใช่ไม่ได้ผลเลย
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ สมมติว่าเราแบ่งสวรรค์ออกเป็นสองชั้นนะ ถ้าหากว่า ใครทำทานด้วยความคิดผูกพัน ด้วยความหวังอยากจะได้ผล ก็ไปอยู่ เป็นสหายแห่งจาตุมหาราชิกา คือเทวดาชั้นจาตุ ชั้นต้นชั้นต่ำสุด แต่ถ้าหากว่าใครทำด้วยใจเลื่อมใส ด้วยใจคิดอยากอนุเคราะห์จริงๆ ไม่มีใจผูกพัน ไม่มีใจคาดหวังกับผลของการให้ทาน อย่างนั้นได้ไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ นี่เรียกว่าถ้าหากว่าตายกันทันทีหลังจากทำทานเสร็จ คนที่ไม่คาดหวังผลจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์
ทีนี้คำถาม ผมไม่เลือกทั้งสองข้อ เพราะว่ามันไม่ใช่นิสัยในการทำทานแบบของผมนะ เพราะว่าในการใส่บาตรพระทั่วไปวันละร้อยบาทผมก็ไม่ใส่อยู่แล้ว คือไม่เคยใส่เงินถวายพระ เท่าที่จำได้นะ จะไม่เคยใส่บาตรด้วยเงินเลย แต่เคยถวายเป็นปัจจัยเพื่อที่จะทำนุบำรุงหรือว่าปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนจะได้กราบไหว้กันเยอะๆ ด้วยความเลื่อมใส ด้วยความเคารพศรัทธา หรือไม่ก็บริจาคประมาณว่า ค่าน้ำค่าไฟ อันนี้ค่าน้ำค่าไฟจะประจำเลย ไปวัดที่ไหนถ้าไม่ลืมมักจะหยอด ถึงแม้ว่าจะไปทำสังฆทานอยู่แล้วก็มักจะหยอดเป็นเงินลงไป
แล้วก็ในแง่ที่ว่าสมมติผมมีเจ็ดร้อยบาท เออ ถ้ามี พูดง่ายๆว่า ถ้ามีงบในการทำบุญเจ็ดร้อยบาทจะทำแบบไหนนะ ก็ เจ็ดร้อยบาท ถ้าสมมติว่ามีอยู่เป็นเงินจำกัดที่จะทำบุญน่ะนะ คือ เอาอย่างนี้ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สักประมาณสิบห้าปีที่แล้ว ผมไม่มีเงินทำบุญเลย ก็จะทำในลักษณะของการให้ทาน แล้วก็จะในลักษณะถวายหนังสือพระนะ แล้วก็จะมี ช่วงแรกที่ทำงาน ใช่ โอเค นึกออกแล้ว ช่วงแรกที่ทำงานเลย ตอนมีเงินเดือนของตัวเองนี่ ผมจะให้เงินคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เป็นประจำทุกเดือน จะเอาไปซื้อของสังฆทานไปถวายนะครับ
นอกนั้นก็จะเหมือนกับให้ทานกับขอทานเมื่อ เมื่อเห็นนะโดยเฉพาะขอทานที่ดูน่าสงสาร คนขายลอตเตอรี่ที่ผมไม่เคยหวังว่าซื้อลอตเตอรี่จะถูกนะ แต่ช่วงหนึ่งที่มีเด็ก แม้แต่ทุกวันนี้ก็มีบางครั้งที่ คนแก่หรือว่าเด็กที่ดูน่าสงสาร เข้ามาขายก็จะซื้อไว้ ซื้อไว้ด้วยความคิดว่าจะช่วยเขา แต่รู้ตัวว่าไม่ใช่คนที่มีดวงเกี่ยวกับเรื่องลอตเตอรี่ เพราะไม่ใช่คนมีดวงเรื่องลอตเตอรี่ เพราะไม่เคยถูกเลยในชีวิต
คือพอคนเราพอรู้ตัวว่า ไม่มีโอกาสที่จะมีดวงเรื่องพวกนี้ เวลาซื้อจะมีเหตุผลเดียวคือสงสารคนขาย ก็จะเป็นแบบนั้น คือถ้าสมมติว่ามีเงินอยู่เป็นจำนวนแน่นอน มีงบอยู่แน่นอน ในอดีตก็เคยทำเดือนละครั้งนะ เมื่อเงินเดือนออกก็จะทำเป็นสังฆทานชุดใหญ่เลยทีเดียว แต่จะเจออะไรที่ไหนที่เห็นว่าน่าทำ ก็ทำด้วยความเลื่อมใส ทำด้วยความปลื้ม ด้วยความอนุเคราะห์ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาอย่างอื่นนะครับ
๔) เวลาที่ฆ่าสัตว์ อย่างเช่น มด คือที่บ้านจะถวายอาหารถาดเล็กๆไหว้พระพุทธรูป แต่มดขึ้นเยอะมาก มีทุกวัน แล้วก็ต้องฆ่าทุกวัน ถ้าไม่คิดอะไรมากก็เปิดน้ำล้างเลย แต่ไม่อยากทำจะเคาะให้มดออกบ้าง นำไปตากแดดบ้างเพื่อให้มดมีชีวิตรอดบ้างก่อนจะนำไปล้าง บางครั้งก็คิดว่าเป็นการทำบาปมากกว่าเดิมหรือเปล่า จะมีวิธีอย่างไรเพื่อจะได้ผิดศีลข้อหนึ่งให้น้อยลง?
เรื่องมดเรื่องแมลงเรื่อง สิ่งรบกวนในบ้าน สิ่งมีชีวิตที่มันไม่ค่อยเป็นมิตรกับมนุษย์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย มันชอบมาทำให้เราเกิดความเดือดร้อนรำคาญนะครับ ก็มีวิธีแก้ต่างๆกันไป คืออยากให้มองว่าเป็นอะไรที่บางครั้งมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะกระทบกระทั่งกัน ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเขานะครับ
คือจักรวาลทั้งจักรวาลนี่ เป็นจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนี่เบียดเบียนกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่มากก็น้อย หายากนะครับ โอกาสที่จะออกจากวงจรแห่งการเบียดเบียนไป พระพุทธศาสนาก็อุบัติขึ้นมาเพื่อที่จะให้เรานี่ ได้พ้นจากวงจรแห่งการเบียดเบียนนั่นแหละ โดยที่บอกแนวทางมาชัดๆนะครับว่า ศีล ข้อแรกเลยนี่ ข้อที่ควรเว้นขาดก็คือเว้นไม่ไปเบียดเบียนชีวิตอื่น ไม่ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ซึ่งโดยหลักการแล้วนี่ ดูเหมือนกับมัน เออ ไม่น่าจะมีอะไรยาก แต่พอคำนึงถึงความเป็นจริง เออ ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตสัตว์เล็กน้อยที่มันอยู่ติดในบ้านนี่รบกวนอยู่ตลอดเวลา มันทำให้บ้านเรือนเราเสียหายอยู่ตลอดเวลา ก็จะต้องใช้ขันติ แล้วก็ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่เบียดเบียนกัน อย่างเช่นนะประมาณถามนี่ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้บาปตรงนี้ มันน้อยลง เพราะทุกวันนี้ก็เหมือนกับว่าเราเอาถาดออกไปเคาะ ให้มันออกอยู่แล้ว หรือไม่ก็นำไปตากแดดเพื่อให้มันออก หรือบางวันขี้เกียจขึ้นมาก็อาจจะเปิดน้ำล้างไปเลยอะไรแบบนั้น
คือก็เท่ากับว่าถ้ามองเป็นภาพรวมนะครับที่ผ่านมาคือว่า ก็เหมือนกับใช้ความพยายามที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต แต่บางวันก็ปล่อยๆไปบ้าง เพราะว่าชีวิตมดนี่นะครับมันเป็นของเล็กน่ะนะครับ เหมือนกับเราก็รู้สึกว่ามันคงไม่มีประสาทรับความเจ็บปวดอะไรมาก มันคงไม่ได้จะมีความสลักสำคัญอะไรมาก เพราะฉะนั้นเราก็จะมองว่า มันไม่ใช่บาปที่ใหญ่มาก แต่มันก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะปาณาติบาตอย่างไรก็ยังต้องเป็นปาณาติบาตอยู่วันยังค่ำนะ
ถ้าหากว่า เราจะเห็นว่าบางวันเราก็พยายามที่จะไม่ทำบาป บางวันก็ปล่อยๆไป ก็จะได้ผลเหมือนที่เราพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่ บางครั้งก็ได้รับความเบียดเบียนบ้าง บางครั้งก็ไม่ได้รับความเบียดเบียน ได้รับแต่ความเกื้อกูล แบบนี้น่ะนะมันก็สะท้อน สะท้อนกันไป สะท้อนไปมานั่นแหละ สิ่งที่เราทำ แล้วสิ่งที่เราได้รับนะ แล้วก็ เออ ในปัจจุบันก็มีถ้าพูดถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ก็มีอยู่เยอะที่เป็นทางเลือกนะครับ อยากแนะนำไปเปิดหาดูที่มีอยู่ในกูเกิลน่ะ มันมีอยู่นะ พวกที่ใช้สมุนไพร พวกที่ขับไล่โดยไม่ต้องเอาชีวิตกัน แล้วก็ลองทดลองดูกันเองก็แล้วกันว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร
โดยส่วนตัวผมเองก็มักมีคนถาม ผมก็จะบอกเสมอว่าผมจะใช้วิธีที่มันรับรองแล้วว่ามันไม่เป็นการฆ่าแต่เป็นการขับไล่ แล้วก็วิธีที่เขาเห็นผลกันว่าไม่ฆ่านี่ก็คือ เขาใช้สมุนไพร ลองเสิร์ชๆ หาดูก็แล้วกัน
๕) ทำสังฆทานที่ถูกต้องนี่ ควรถวายพระสงฆ์ ๔ รูปขึ้นไปหรือเปล่า?
คือถ้าเอาตามในพระคัมภีร์นี่ ถวายแค่รูปเดียวก็ถือเป็นสังฆทานแล้วนะครับ แต่ที่นิยมถวายสี่รูปกันในไทยนี่ ก็น่าจะได้เค้าเริ่มต้นมาจากการที่เห็นว่า พระสี่รูปขึ้นไปถึงจะทำสังฆกรรมได้ ถึงจะทำกิจของสงฆ์ ที่จะเป็นธรรมเนียมว่า นี่แหละเป็นคณะสงฆ์นะ ไม่ใช่พระสงฆ์อยู่กันแค่รูปสองรูปอะไรแบบนั้น
ก็เลยเหมือนกับว่าธรรมเนียมมาโดยปริยายว่า เวลาจะทำน่าจะทำสี่รูป แต่จริงๆแล้ว แค่ใส่บาตรพระตอนเช้าก็ถือว่าเป็นสังฆทานแล้ว แล้วถ้าหากว่า เราตั้งจิตว่าไม่ได้ถวายรูปใดรูปหนึ่ง แต่ถวายเพื่อพระสงฆ์จะได้มีโอกาสที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา อย่างนี้ถือว่าเป็นสังฆทานอย่างใหญ่ นะครับสังฆทานแบบไม่เจาะจง ซึ่งท่านว่ามีอานิสงส์มากที่สุด มากกว่าการที่ไปเจาะจงเอารูปใดรูปหนึ่ง แม้กระทั่งเจาะจงอยากจะทำกับพระอรหันต์นะครับ ก็ยังไม่เท่ากับความตั้งใจทำเพื่อพระสงฆ์โดยรวม
เอาล่ะครับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ขอให้เจริญในธรรมด้วยกันทุกท่านนะครับ
« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น