วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดังตฤณวิสัชนา On Air ครั้งที่ ๕๗ / วันที่ ๓๐ พ.ค. ๕๕

« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้วันพุธที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นี่คือรายการดังตฤณวิสัชนา ผมดังตฤณมาตอบคำถามให้คุณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ทุกคืนวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลาสามทุ่มตรง เพื่อที่จะทักทายและไถ่ถามเข้ามาในรายการ ให้เข้าไปที่ http://www.facebook.com/HowfarBooks นะครับ



๑) การที่เราใช้ของสำนักงาน เช่น แฟกซ์ไปเพื่อเรื่องส่วนตัวเป็นประจำ แต่ก็เอากระดาษมาวางคืนแทนค่าโทรศัพท์และค่าไฟ บาปหรือไม่? และจะมีวิบากอย่างไร?

ถ้าเป็นเรื่องรู้กันแล้วก็ไม่ได้ปิดบัง ไม่ได้ลักลอบทำ เหมือนกับทุกคนเห็นอยู่แล้วว่าเราก็ใช้ เขาก็ใช้ อะไรแบบนี้ ก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่ามีการออกกฎบริษัทไว้ชัดเจนนะ ว่าห้ามไม่ให้ใช้ไปในเรื่องของที่จะเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานนี่นะ อันนี้ก็เข้าข่ายผิดแล้วก็ ถือว่าผิดศีลข้อสองได้นะ เพราะว่าสิทธิ์ สิทธิที่เราจะใช้มันไม่มี แล้วเราไปเอาของ ของคนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาใช้ อันนี้ก็มันหลักของการละเมิดศีลข้อสอง ก็ง่ายๆนะ สิทธิ์ไม่ใช่ของเรา เป็นของของคนอื่น เป็นของที่มีมูลค่า

ตามพระวินัย ถ้าหากจะถือเอาที่พระพุทธเจ้าใช้เป็นเกณฑ์นะครับ ว่าขโมยแล้วหรือยังนี่ ก็ของมีมูลค่ามากกว่า ๑ บาทขึ้นไป ๑ บาทไทย มีคนตีความเทียบค่าเงินสมัยก่อนกับสมัยนี้ บอกว่าหนึ่งบาทขึ้นไป ถือว่าปาราชิก พูดง่ายๆว่า เออ! โทษ ไม่ใช่ปาราชิก คือผิดวินัยข้อที่ว่าปาจิตตีประมาณกลางๆนะครับ เอ๊ะ! เดี๋ยวขอโทษ ผมไม่แน่ใจพูดผิดหรือเปล่า เออ! รู้สึกว่าของถ้าเราขโมยไปนี่ปาราชิกนะ ถ้าจำผิดขอโทษด้วยก็แล้วกัน เอาเป็นว่า ถ้าหากเราจะสบายใจนี่ อย่าเอาเป็นเรื่องของการเอาของมาใช้คืนเลย แต่เป็นการขอให้ชัดเจนว่าเลย เราจะใช้ เราจะใช้ของ แล้วก็ส่วนไอ้ที่จะว่าจะได้รับอนุญาต ไม่รับอนุญาตหรือไม่ ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีสิทธิ์ในการอนุมัตินะครับ เช่นว่าผู้จัดการ ที่สามารถจะบอกได้ว่าเราจะใช้ของของบริษัทได้หรือไม่ได้อะไรแบบนี้นะ



๒) การที่เราทำงานส่วนตัวในเวลาที่ไม่มีงานในสำนักงาน บาปหรือไม่? อย่างไร?

งานส่วนตัวถ้าหากว่าเราทำงานบริษัทเสร็จนะครับ ก็ถือว่ารับใช้บริษัทตามหน้าที่แล้วนี่นะ มันก็ไม่มีความผิดในแง่ของศีล เพราะว่าข้อตกลงระหว่างเรากับบริษัทก็คือ ทำงานให้บริษัทเต็มที่ ทำงานให้บริษัทคุ้มค่าจ้าง ถ้าหากจะทำอะไรที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเราในเวลาทำงานก็จริง แต่ว่าเป็นเวลาที่เราเหมือนกับว่างแล้วนี่ ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ารู้ๆกันว่าไม่มีใครทำได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้นะ ก็ต้องนั่งใช้เวลาเพื่อทำเรื่องส่วนตัว เช่นเกาหัว นั่งแคะเล็บ นั่งแต่งหน้า นั่งทำโน่นทำนี่ และการที่เราจะเอาเวลามาใช้แบบ ๕ นาที ๑๐ นาที ไปเพื่อธุรกิจการงานของเราเอง ก็ไม่ได้ผิดอะไร

แต่หากว่าเรารู้อยู่แก่ใจว่างานยังไม่เสร็จ แล้วก็อยากจะใช้เวลาไปในงานส่วนตัว อันนี้ผมเคยเห็นกะตา หลายคนเลยที่ทำแบบนี้นะ แล้วทำแบบนี้นี่ที่เห็นชัดๆเลยนะ จะลักทำแอบทำ ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผย การที่ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผยนั่นน่ะ ตรงนั้นเป็นพิรุธที่อยู่ในใจ เป็นสิ่งที่รู้อยู่ในใจว่า เราไม่มีสิทธิ์ ไม่น่าจะทำ แต่ก็ยังฝืนทำ แต่ถ้าหากทำได้อย่างเปิดเผย แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเขาว่า เพราะเห็นคุณทำงานหลักเสร็จแล้ว อันนั้นก็แล้วไป

ส่วนใหญ่นี่ถ้าอยู่ที่บริษัทให้ถืออย่างนี้แล้วกัน ว่าเราเป็นทรัพย์สินของนายจ้าง เพราะว่าเขาจ้างเรามา เขาซื้อตัวเรามา เพื่อที่จะให้เวลาแล้วก็ให้กำลังสมองกับบริษัทอย่างเต็มที่ นี่คิดในแง่ของธรรมะนะ ถ้าหากว่าคุณไปใช้เครื่องไม้เครื่องมือของบริษัท แล้วก็ใช้เวลางานไปเพื่อส่วนตัวนี่นะ ก็เท่ากับเราลักลอบเอาทรัพย์บางส่วนที่นายจ้างเขาซื้อตัวเราไว้ มาใช้ ในแบบที่นายจ้างไม่ได้รับผลตอบแทน

ถ้าหากว่าวันหนึ่งหากเราเป็นนายจ้างขึ้นมาบ้าง ก็จะเจอลูกจ้างแบบเดียวกันนั่นแหละ หรือถ้าหากว่าไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ เพราะว่าชาตินี้เราไม่ได้เป็นนายจ้างเลย ก็ไปให้ผลในชาติหน้า เกิดมานี่บริวารก็มักจะไม่ทำงานให้เราเต็มเม็ดเต็มหน่วย อะไรแบบนั้นนะครับ

คือเรื่องของกรรมวิบากบางทีมันซับซ้อน มันไม่ใช่พูดกันได้คร่าวๆแค่นี้ เพราะว่ามันมีรายละเอียด เราเบียดบังเวลาของบริษัทไปมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ไอ้ที่เป็นการรับจ๊อบของเรา มันมีผลให้บริษัทเสียหายด้วยหรือเปล่า เพราะว่าบางทีนี่ หลายคนนะที่รับจ๊อบ แบบที่ไปทำให้คู่แข่ง หรือว่ามันไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง แต่ว่าบริษัทนี่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียรายได้ อันเกิดจากการที่เราใช้เวลาของบริษัทไปทำประโยชน์เพื่อตัวเองนะครับ



๓) เวลานั่งสมาธิแล้ววูบสงบ เหมือนห้องที่เปิดไฟ แล้วมีใครมาปิดมืดลง เป็นระยะเวลาสั้นๆ รู้สึกกลัว และไม่เข้าใจว่าจะทำอะไรต่อไป? มีครั้งหนึ่งรู้สึกวาบที่แผ่นหลังด้วย

ขอให้มองว่าสภาพทางใจ อาการทางจิตที่อยู่ในระหว่างนั่งสมาธิ เป็นสภาพที่มีความชัดเจนกว่าตอนที่เราอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้าเห็นอะไร หรือเกิดอะไรขึ้นนี่เลยตกใจ เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

แต่ถ้าหากว่าเรามีความสามารถที่จะมองเข้ามาที่จิตตัวเองนะว่า เห็นว่ามืด เห็นว่าสว่าง เห็นว่าใส เห็นว่าทึบนะ ในระหว่างวันนี่นะ เราจะไม่รู้สึกตกใจ มันเกิดขึ้นเป็นปกติ มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว และบางเวลาที่เราเกิดความรู้สึกดีใจขึ้นมามากๆบางทีมันมีความรู้สึกสว่างจ้า มันมีความรู้สึกเหมือนโลกแจ่มใส จริงๆแล้วแสงอาทิตย์มันก็ยังเท่าเดิมนั่นแหละ โลกก็ยังเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ว่าอาการทางใจนั่นแหละที่มันสว่างขึ้น ที่มันมีความตื่นตัว ที่มันมีความจัดจ้าขึ้นมาตามสภาพของปีติ

และในขณะที่เราได้ข่าวร้าย หรือว่ามีอาการช็อก หรือหุ้นตก หรือว่าไม่ได้ของขวัญที่ต้องการอะไรแบบนี้นะ แล้วมีความรู้สึกเหมือนกับโลกมันมืดลง เหมือนกับสภาพภายในนี่มันยุบตัวลงไป หรือหดตัวลงไป อันนั้นก็เป็นสภาพที่จิตมีอาการหดแคบ หรือมีอาการมืดขึ้นมาชั่วคราว ไม่แตกต่างจากไอ้ตอนที่เรานั่งสมาธิสักเท่าไหร่

เพียงแต่ว่าในสภาวะของสมาธิเราเห็นชัด แล้วจิตนี่มันไม่มีเรื่องคิดอย่างอื่น มันไม่ได้เห็นอะไรอย่างอื่น มันไม่ได้ยินอะไรอย่างอื่น สภาพมืดบ้างสว่างบ้างมันเลยปรากฏโดดเด่น จนกระทั่งเรารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเรื่องน่ากลัว จริงๆแล้วถ้าเราเริ่มสังเกตจากตอนนั่งสมาธิก็ได้ เพราะว่าจิตในขณะนั่งสมาธินี่ ไม่ต้องไปเพ่งไม่ต้องไปเค้นอะไรมันมาก จะก็ปรากฏชัดให้เห็นชัดโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว ขอให้คิดเสียว่าการนั่งสมาธิคือการฝึกที่จะดูจิต ฝึกที่จะเห็นสภาพทางใจที่มีอาการเป็นไปต่างๆนานา เดี๋ยวมืดบ้าง เดี๋ยวสว่างบ้าง เดี๋ยวมันก็มีอาการมัวมน เทาๆไม่มืดไม่สว่าง

โดยทั่วไปถ้าหากยังมีคลื่นความคิดฟุ้งซ่านอยู่ ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้สว่างชัดเจน ไม่ได้มืดชัดเจน มีแต่อาการมัวๆเราก็ดูไปว่าสภาพจิตมันอยู่แบบไหน พอต่อไปมีอาการมืดลงแบบเดียวกันอย่างนี้อีก เราก็จะได้มีสติรับรู้ว่า เออ! อันนี้เป็นอาการมืดชนิดหนึ่ง ไม่ตกใจ ไม่แปลกใจ เพราะว่าตั้งใจดูไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่านั่งสมาธินี่เราจะไม่ได้เอาความสงบอยู่อย่างเดียว แต่เราเอาอาการรับรู้ด้วยว่าสภาพทางใจว่ามีความสว่างแค่ไหน มีความมืดแค่ไหน

ที่ตกใจก็เพราะว่าไม่ได้เตรียมใจ จำไว้ดีๆเลยนะครับ ว่าปรากฏการณ์ทางใจ จะไม่ถูกเห็นเป็นเรื่องแปลก เรื่องน่าประหลาด เรื่องน่าตกใจ ถ้าหากว่าเราเตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าจะดูความเปลี่ยนแปลงมันไปเรื่อยๆนะครับ ไม่ต้องไปสงสัยนะว่า มันมีในความพิสดาร หรือว่ามีรายละเอียดในแต่ละครั้งที่ปรากฏอย่างไร เราเอาแค่สภาพที่เตรียมไว้ในใจล่วงหน้าว่า สว่าง มืด หรือว่าเทาๆนะครับ เห็นมันโดยความเป็นของเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆแล้วก็จะมีแก่ใจที่จะไปสังเกตเอาในขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันต่อไปด้วย



๔) คนที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นกรรมและบุญของเขาจะได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ หรือว่าเราไม่มีบุญก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินี้?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเชื่อเรื่องกรรม ว่ากรรมเก่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเหตุของอะไรต่ออะไรทุกสิ่ง ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิประเภทหนึ่ง ต้องมีฐานเก่าให้ยืน แล้วก็มีการต่อยอดใหม่ เอื้อมมือไขว่คว้าเอาเอง

เปรียบเทียบง่ายๆถ้าหากว่าเรามีฐานที่สูงพอนะครับ ก็สามารถที่จะเอื้อมคว้าได้ง่ายๆ หรือถ้าหากว่าฐานใครต่ำลงมานิดหนึ่ง ก็อาจต้องใช้วิธีเขย่ง หรือว่าต่ำลงมาอีกหน่อย ก็อาจจะใช้วิธีกระโดดก็ได้ มันเอื้อมคว้าผลไม้จากกิ่งไม้ได้เหมือนกันนะครับ แต่ถ้าบางคนไม่มีฐานอยู่เลย เตี้ยติดดินหรือหล่นลงไปอยู่ในหลุม แบบนั้นก็ต้องตะเกียกตะกายนิดหนึ่ง ก็อาจจะต้องทำบุญกันข้ามภพข้ามชาติจริงๆ

แต่ว่าส่วนใหญ่นะ ถ้ามาเล่นเฟสบุ๊คได้ แล้วก็มาฟังวิทยุออนไลน์ได้แบบนี้นี่ ฐานถือว่าเอื้อมได้ หรือไม่ก็เขย่งนิดนึง ไม่ต้องถึงกับต้องกระโดด ไม่ถึงกับหรือต้องปีนขึ้นจากหลุมเสียก่อน อะไรแบบนี้

พวกที่จะต้องปีนขึ้นจากหลุม อย่างคนเกิดในต่างชาติ ต่างศาสนา ไม่เคยได้ยินคำสอนของพระพุทธศาสนามาแต่อ้อนแต่ออก แต่ว่ามาได้ยินเพื่อนพูด เพื่อนต่างประเทศพูด เออ! ฟังเข้าท่าดี เกิดรู้สึกว่าอยากจะมานับถือศาสนาพุทธบ้าง แต่ติดที่พ่อแม่ไม่ให้ หรือว่าอยู่ไกล ไม่สามารถที่จะมาหาครูบาอาจารย์ในประเทศที่มีพุทธศาสนารุ่งเรืองได้ อะไรแบบนี้เรียกว่าพวกที่อยู่ในหลุมหรือไม่ก็อยู่บนดิน ยังไม่มีฐานที่จะให้เอื้อมคว้าผลไม้มาได้อย่างใจ

สรุปก็คือ คำว่าบุญเก่านี่ ก็ขอให้มีฐานมากพอที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เกิดในประเทศที่มีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นปกติ สามารถที่จะไขว่คว้าหาความรู้ สามารถที่จะพบหาครูบาอาจารย์ แล้วก็สามารถที่จะมีเวลาพากเพียรในการเจริญสติได้ อันนี้ถือว่ามีบุญชนิดที่เป็นฐานให้เอื้อมคว้าได้ไม่เกินตัวนะครับ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้คำหนึ่ง ผมอยากให้จำกันแม่นๆเลยนะ ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานตามที่พระองค์บอกนะครับ อย่างเต็มที่ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย ๗ ปี อย่างช้านะ อย่างช้าที่สุดเลย ต่อให้บารมีอ่อนแค่ไหนก็ตาม เจ็ดปีนะ ได้เป็นพระอรหันต์ หรือไม่ก็เป็นพระอนาคามี ท่านไม่ได้บอกนะว่าจะได้เป็นพระโสดาบัน หรือว่าพระสกทาคามี ท่านบอกชั้นสูงสุดเลย ๗ ปีอย่างช้าที่สุด ไม่ช้าเกินกว่านี้อีกแล้ว

ถ้าหากเจริญสติปัฏฐานเต็มที่ ไม่มีความย่อหย่อน ต่อให้ นี่บวกเข้าไปแล้วนะ บวกเวลาที่จะถูกมารขัดขวาง บวกเข้าไปแล้วว่าจะถูกวิบากเก่าเล่นงาน เรื่องสุขภาพบ้าง เรื่องของความหน้ามืดตามัวบ้าง อะไรต่อมิอะไรนี่ แต่ขออย่างเดียวนี่ ขอให้เจริญสติปัฏฐานต่อเนื่อง ๗ ปี รับประกัน ๗ ปี ได้พระอรหันต์แน่นอน ได้เป็นพระอรหันต์แน่นอน

แล้วก็สติปัฏฐานนี่ขอให้ดูด้วยว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ไม่ใช่ว่าเจริญสติในแบบที่คิดเอาเอง หรือว่าเอาแบบที่สอนกันนอกลู่นอกทาง แบบนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นประกันให้ พระองค์รับรอง เอ็นดอร์ส (endorse) หรือว่าเซ็นรับประกันให้เฉพาะสำหรับคนที่ปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้นนะครับ

หมายเหตุ ‘ตรัสรู้’ เป็นคำเฉพาะของพระพุทธเจ้านะครับ ไม่ได้ใช้กับสาวกทั่วไป สาวกทั่วไปเรียกว่าเป็นการบรรลุธรรม ตรัสรู้นี่โดยความหมายก็คือ บรรลุธรรมด้วยพระองค์เองนะครับ โดยที่ไม่ต้องมีใครสอนหรือว่าไม่ต้องมีใครมาให้ทาง ให้แนวทางในการเจริญสติ



๕) ถ้ามีคนที่ทำงานนินทาว่าร้ายเราให้คนอื่นฟัง รวมทั้งเจ้านายเราก็รับทราบด้วย ถ้าเจ้านายเราไม่ได้เรียกเราเข้าไปถาม ควรเข้าไปหาเจ้านายและคนอื่นๆเอง เพื่ออธิบายว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด หรือควรอยู่นิ่งๆให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครเป็นอย่างไร?

ต้องดูตามสถานการณ์นะจริงๆแล้ว เรื่องการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ เป็นเรื่องปกติเลยที่จะต้องเกิดเรื่องราวเข้าใจผิดกัน หรือไม่ก็มีการพูดให้ร้ายกัน ถูกใส่ไคล้กัน เราคิดซะว่าการถูกใส่ไคล้ การถูกว่าร้าย เป็นวิบากของการที่เราเคยประกอบกรรมข้อมุสาวาทไว้ คืออาจจะเคยพูดโกหก อาจจะเคยพูดคำหยาบ อาจจะเคยพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นไว้ หรืออาจจะเคยพร่ำเพ้อเจ้อ จนกระทั่งสติเลื่อนลอย ถ้าหากว่าเราเป็นพวกที่เคยก่อกรรมข้อนี้ไว้ แล้วถึงเวลากรรมเผล็ดผลนี่ ก็มักจะเจออะไรแบบนี้ ถ้าไม่ถูกบิดเบือนก็ถูกใส่ไคล้ หรือพูดง่ายๆนะว่า เราเคยไปทำความจริงให้บิดเบี้ยวไว้ ความจริงก็เลยมาบิดชีวิตเราให้เบี้ยว เอาคืนบ้าง เป็นการเอาคืนบ้างนะครับ

การที่เราจะโต้ตอบอย่างไร ดูความเหมาะสม ถ้าหากว่าสามารถพูดได้ สามารถอธิบายได้ พูดไปเถอะ อธิบายไปเถอะ ถ้าหากว่า เห็นนะครับว่าพูดไปก็ป่วยการ พูดไปแล้วยังไม่มีจังหวะที่ใครเขาจะเชื่อเรา ก็รอให้เหตุการณ์ปรากฏความจริงขึ้นมานะครับ แล้วก็อธิษฐานเอาว่า ความจริงมันเป็นแบบนี้ เราไม่ได้เป็นไปตามที่เขาว่าร้าย หรือใส่ไคล้เอาไว้ ก็ขอให้วันหนึ่งความจริงจงปรากฏ เพื่อที่จะให้ทุกคนได้รับรู้ว่าของที่ตรง ของที่ถูกมันเป็นอย่างไร

การที่เราจะไปฟิกซ์ไว้ตายตัวว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีนี่ มันไม่ครอบคลุมทุกสถานการณ์ แต่ละสถานการณ์มีความละเอียดอ่อนแตกต่างกันไป เจ้านายบางคนไม่ฟังอะไรเลย ใครมาเป่าหูไว้ก่อนก็รับอันนั้นไว้ แล้วก็ยึด โดยเฉพาะเจ้านายประเภทนะ แล้วก็มีเจ้านายเยอะมากเลยนะที่ถูกเป่าหูไว้ก่อน แล้วหลงเชื่อไปแล้ว ปักใจไปแล้ว ด่าไปแล้ว ลงโทษคนอื่นไปแล้วนี่ เจ้าตัวจะมาไปพูดแก้ตัวอย่างไรก็ไม่รับฟัง ถือว่าเราก็ซวยไป ถ้ามีเจ้านายที่ใจคอไม่หนักแน่นแบบนั้น

แล้วมีเยอะมากเลยนะที่ได้อำนาจขึ้นมาโดยที่ไม่มีบารมี ไม่มีความเที่ยงธรรมมากพอที่จะเป็นเจ้าคนนายคน พอใครมาประจบหน่อย หรือว่าใครมานินทาว่าร้ายก็เชื่อทันที ตัดสินลงโทษทันที พวกนี้โดยมากจะมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองตัดสินไปแล้วว่าคือความถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าเจอเจ้านายแบบนี้ ก็อาจจะต้องทำใจนิดหนึ่ง หรือถ้ามีที่อื่น มีเจ้านายอื่นให้เลือก ก็ไปเลือกใหม่เสีย แต่ถ้าหากว่าเจ้านายมีความเที่ยงธรรม ตรงนี้ควรจะพูดอย่างยิ่งเลย ควรจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องอย่างยิ่งนะครับ รวมทั้งเพื่อนร่วมงานอื่นๆด้วย เราก็พิจารณาเป็นคนๆไป ว่าใครมีความพร้อมที่จะฟัง ใครมีความพร้อมที่จะตัดสินคนอื่นทันที เราก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวเลยนะ

มนุษย์นี้นะถ้าเลือกแล้วที่จะเป็นพวกตัดสินคนง่ายๆด้วยการฟัง โดยไม่พิจารณาอะไรเลย ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งสิ้น คนประเภทนี้จะเป็นคนที่อยู่ในห้องขัง เป็นห้องสุญญากาศ เป็นกำแพงที่ไม่สามารถที่จะคุยกับเราที่อยู่ข้างนอกได้ เพราะหากว่าเราเป็นคนที่มีเหตุมีผลมากพอ



๖) จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราดูจิตตัวเองได้ถูกได้ตรง โดยที่ไม่คิดเข้าข้างตัวเองเลย?

เอาง่ายๆอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน อย่าพึ่งไปดูจิต ดูให้ได้ก่อน ตัดสินให้ถูกก่อน ว่าตอนนี้เรากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ ถ้าหากว่าเราสามารถบอกได้ถูกว่า ขณะนี้หายใจเข้าหรือหายใจออกอยู่ เราก็จะสามารถตัดสินได้เช่นกันว่า ขณะนี้เรามีความพอใจหรือไม่มีความพอใจกับลมหายใจในระลอกนั้นๆ ถ้าหากว่ามีความพอใจ มันก็แปลว่าหายใจเข้าแล้วมีความสุข หายใจออกแล้วมีความสุข แต่ถ้าหากว่าหายใจเข้าอึดอัด หายใจออกอึดอัด ด้วยความคิดเพ่งมากเกินไป หรือว่าบังคับตัวเองมากเกินไป ก็ให้มอง ก็ให้รู้ว่าลมหายใจนั้นนำความทุกข์มาสู่ตัวเรานะครับ

ถ้าหากว่าเห็นความสุขเห็นความทุกข์อันเกิดจากลมหายใจเข้าออกได้ เราจะเริ่มมีความสามารถที่มองอะไรที่ละเอียดอ่อน หรือประณีตยิ่งกว่านั้น คือสภาพจิตใจที่มันมีความฟุ้งซ่านหรือมันมีความสงบ โดยทั่วไปถ้าหากว่าหายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข จิตจะกระเดียดไปในทางมีความประณีต มีความสงบ แต่ถ้าหากว่าหายใจเข้า หายใจออก มีความรู้สึกเป็นทุกข์ มีความอึดอัด ตรงนั้นก็จะสามารถเห็นเข้าไปว่าจิตมีความฟุ้งซ่าน จิตมีความรู้สึกกระสับกระส่าย นี่แหละ ตรงนี้แหละ มันจะสามารถเห็นได้ชัดๆแน่ๆเลยว่าถูกต้องแน่นอน ถูกต้องตรงตามภาวะแน่นอน ไม่ผิดแน่นอน แต่ถ้าขึ้นมาอยู่ๆไปดูจิตเลย ไปดูสภาพว่าตอนนี้กำลังเป็นอย่างไร มันก็เกิดความสงสัยกันขึ้นมากันทุกรายนั่นแหละ เอาตามลำดับของสติปัฏฐานตามที่พระพุทธเจ้าประทานแนวทางไว้จะดีกว่านะครับ



๗) ทำอาชีพเขียนนิยายแนวแฟนตาซี สยองขวัญ เข้าข่ายทำให้คนหลง ทำให้ศีลด่างพร้อยหรือเปล่า? มีวิบากอย่างไร?

อันนี้คือเป็นนักแสดงนะครับ ไม่ใช่นักร้อง คือถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็ประมาณว่าเป็นตลกคาเฟ่อะไรแบบนั้น เพราะว่ามีระบุในพระคัมภีร์ว่า คนนี้ นายคนนี้ ประมาณว่ามีนักแสดงถามพระพุทธเจ้าว่า คนที่ทำให้คนหัวเราะเป็นอาชีพ เขาก็คิดว่าการที่ทำให้คนหัวเราะได้บ่อยๆถือว่าเป็นบุญ แล้วก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์อะไรแบบนี้ เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่งของนักให้ความบันเทิง

พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า จริงๆแล้วนี่พระพุทธเจ้าไม่เต็มพระทัยตอบ ท่านตรัสเลี่ยงว่า อย่าถามเลย อย่าถามเราเลย แล้วนักแสดงคนนี้ก็ข้องใจ ไม่ยอมลดละ ถามถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง ท่านไม่ได้มาพูดง่ายๆนะครับว่าใครทำอะไรแล้วจะได้ผลอย่างไร มีอาชีพแบบไหนแล้วจะได้ไปสวรรค์หรือว่าได้ไปนรก ท่านไม่ได้พูดง่ายๆนะ ท่านต้องให้เจ้าตัวมาทูลถามถึง ๓ รอบ ๓ ครั้งในเวลาเดียวกัน ในครั้งเดียวกันนั่นแหละ พระองค์ถึงได้ยอมที่จะตรัสตอบนะครับ

ท่านก็ตรัสตอบว่า เอาเฉพาะตรงที่ว่า ถ้าทำกรรมนี้นะ กรรมแบบที่ว่า จะเอาเรื่องที่ไม่จริงมาพูด แล้วก็เรื่องการทำกรรมที่ยั่วยุให้คนเขาเกิดราคะ โทสะ โมหะ มากๆนี่ มันไม่ใช่ไปสวรรค์ คนเขามีกิเลสกันอยู่แล้ว มีราคะกันอยู่แล้ว พร้อมที่จะมีราคะแบบผิดๆกันอยู่แล้ว พร้อมที่จะมีโทสะแบบผิดๆกันอยู่แล้ว พร้อมที่จะมีโมหะแบบผิดๆกันอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเราไปกระตุ้นให้เขามีราคะแก่กล้ามากขึ้นพอที่จะทำผิดศีลผิดธรรมได้ หรือว่ามีโทสะมากพออย่างประเภทที่ว่ายั่วยุให้ฆ่าแกงกัน หรือว่าล้างแค้นเป็นการทดแทนบุญคุณอะไรแบบนั้นนี่ อย่างนั้นมันไม่ได้ไปสวรรค์อย่างที่เขาเข้าใจหรอก มันจะเป็นเหตุให้ไปนรกชั้นนึง เป็นนรกสถานเบาของคนที่ล่อลวงให้ผู้อื่นหรือว่าชี้นำให้ผู้อื่นนี่เกิดราคะผิดๆแล้วก็โทสะผิดๆโมหะผิดๆขั้นแก่กล้าพอที่จะละเมิดศีล ละเมิดธรรมได้

ตรงนี้คำถามก็คือว่า ผมทำอาชีพเสริม เขียนนิยายแนวแฟนตาซี สยองขวัญ เพื่อความบันเทิงเป็นหลัก อย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายที่จะทำให้คนหลงไหม? เป็นการทำให้ศีลด่างพร้อยหรือเปล่า? มีวิบากอย่างไร?

ก็ต้องดูรายละเอียด ว่าแต่ละเรื่องยั่วยุให้คนมีความหลงผิดขนาดไหน หลงผิดขนาดที่จะทำให้มัวเมาอยู่ในความมีราคะแก่กล้า โทสะแก่กล้า เข้าขั้นละเมิดศีล ๕ ได้มั้ย แล้วก็เข้าขั้นที่จะทำให้ตัวเองนี่ ชีวิตของเขาเกิดความเสื่อมทรามลงหรือเปล่า ผมจะรู้ดีเลยคืออย่างตอนเด็กๆนี่จะอ่านนิยาย ผมเป็นคนเป็นเด็กที่ขยันอ่านนิยายมาก แล้วก็จะรู้ละว่านิยายมีหลายประเภท ต่อให้เป็นนิยายประโลมโลก แต่แฝงข้อคิดไว้มากๆกระตุ้นให้เกิดความรับรู้เข้ามาในชีวิต หรือว่ามองเห็นชีวิตในมุมมองที่อยากจะต่อสู้ อยากจะเข้มแข็ง อยากจะทำดีๆอะไรให้สังคม นิยายประเภทนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นของหลอกในหน้ากระดาษ แต่ก็จะก่อให้เกิดของจริงในชีวิตของคนคนหนึ่งหรือหลายๆคนได้ นี่ถือว่าคนเขียนได้ประกอบบุญไปแล้ว โดยที่บางทีอาจจะไม่ได้คิดว่าอยากจะทำบุญละ แต่ว่าอยากจะเขียนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนอ่าน

รสชาติของนิยายหรือว่ารายละเอียดในนิยาย มีส่วนเป็นแรงบันดาลใจ เป็นแรงผลักดันให้คนอื่นสามารถที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้นได้ ตรงนี้นี่เป็นบุญนะครับ ไม่ใช่เป็นบาป ถึงแม้ว่าจะเจืออยู่ด้วยมลทิน คือไปมีฉากรัก เลิฟซีนบ้าง ไปมีฉากฆ่าฟันบ้าง ไปกระตุ้นให้เขาเกิดโลภะ โทสะ โมหะแบบผิดๆบ้าง แต่สามารถที่จะตะล่อม ตลบหลังกลับ ให้เขาเกิดความเห็นโทษเห็นภัยของการมีราคะ โทสะ โมหะแบบผิดๆได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการเชื่อมโยง เป็นการลิงค์เอานิยายหรือเรื่องแต่งนั้นน่ะให้เข้ากับชีวิตจริงๆของคนคนหนึ่งที่ยังมีกิเลสอยู่ แล้วทำให้เขาหลงติด เพื่อที่จะได้ตื่นในภายหลัง ว่าเออ! ไอ้ที่หลงผิดไปมันไม่ดี

ถ้าผลสุดท้ายคุณสามารถทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิได้ แทนที่จะมีมิจฉาทิฏฐิไปในแบบที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อะไรแบบนั้นนี่นะ ก็ให้สบายใจได้เลย เย็นใจได้เลยว่า คุณทำให้ราคะ โทสะ โมหะของคนคนนึงให้เบาบางลง ถือว่าเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของการทำบุญ จะเป็นแนวแฟนตาซีหรืออะไรก็แล้วแต่ ขออย่างเดียว ขอให้คนได้ข้อสรุปเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นพอ


คืนนี้ขอราตรีสวัสดิ์ครับ ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะครับ


« กลับสู่สารบัญเรียงตามครั้งที่ออกอากาศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น