ถาม : กรรมอะไรทำให้ชายหญิงผลัดกันรักอีกฝ่าย แต่ไม่เคยพร้อมกันครับ? เป็นกรรมเฉพาะตัวของผมหรือเปล่า
เพราะที่ผ่านมาพอมีผู้หญิงมาชอบ ผมจะนึกอยากเล่นตัว หรือแกล้งหว่านเสน่ห์ล่อไว้
ทั้งที่ใจจริงๆ ไม่นึกสนเลย แต่พอหลายเดือนหรือเป็นปีผ่านไป
ผมกลับเกิดนึกพิศวาสเธอขึ้นมา ซึ่งเวลานั้นเธอกลับปั้นปึ่งเย็นชากับผม
หรือคุยธรรมดาแบบเพื่อนไปเสียแล้ว ประเภทนี้เท่าที่ฝังใจชนิดนึกออกทันทีก็ ๔ ราย
บางรายผมเป็นฝ่ายชอบเธอก่อนแต่เธอไม่เล่นด้วย
แล้วย้อนกลับมาชอบผมตอนผมไม่เอาด้วยแล้ว
มีอยู่รายหนึ่งผมเสียดายแบบก่ายหน้าผากนอนไม่หลับทีเดียว
นึกประหลาดใจมาก ราวกับไม่มีหัวใจเป็นของตัวเอง
เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมวันนั้นผมไม่รักเธอ ทั้งที่รูปร่างหน้าตา
นิสัยใจคอก็ดีทุกอย่าง เธอมีใจกับผมชัดๆ ทั้งการแสดงออกและคำพูด แต่ใจผมดันเย็นชา
หรือกระทั่งคิดสมน้ำหน้าเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่คือกรรมเก่าแบบไหนหรือครับ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐
ดังตฤณ:
ตรงที่บอกว่า ‘ไม่มีหัวใจเป็นของตัวเอง’ ก็นับว่าถูกต้องแล้ว
เป็นจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่ดีทีเดียวครับ เพราะหัวใจของทุกคนตกอยู่ในอุ้งมือของวิบากกรรมที่เคยทำไว้ก่อน
รวมทั้งกรรมที่กำลังทำในปัจจุบันด้วย
หาใช่ว่าใครจะควบคุมบัญชาให้หัวใจเป็นดังปรารถนาได้ไม่ บางทีของดีอยู่ตรงหน้า
แต่วิบากบีบให้เมิน คว้าได้แล้วไม่คว้า ลงเอยเลยชวดซะงั้น
ประเภทคุณนี้เรียกว่าผูกกรรมกับใครต่อใครมาในแบบ ‘เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ’
ครับ คือฝ่ายหนึ่งล่อให้จับ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ไล่จับผลัดกันไปผลัดกันมา
ไม่แกล้งก็เหมือนแกล้ง ทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจ
หรือทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจแก่กันและกันอยู่อย่างนั้น หากคุณหน้าตาดีมีเสน่ห์
ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง ก็มีสิทธิ์เจอคู่เวรประเภทเล่นเอาเถิดเจ้าล่อเป็นธรรมดา
เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกกับการใช้อำนาจความหล่อความสวยสยบเพศตรงข้าม
ถ้าถึงขนาดไม่เคยเจอคนที่ลงตัวเลย
ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องพรรค์นี้
อันนั้นก็พิจารณาได้ว่าคุณเล่นเกมนี้ซ้ำไปซ้ำมาเสียจนกลายเป็นเส้นทางประจำ
ถอนตัวจากเกมไม่ได้ง่ายๆ
ผมเคยรู้จักคนที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ
ไม่คิดมีแฟนจริงจัง แต่ชอบบริหารเสน่ห์เพื่อความกระหยิ่มใจ เอาไว้บอกตัวเองว่าแน่
นึกอยากให้ผู้หญิงมาชอบเมื่อไรก็ได้ แต่ไม่เอาเอง ประเภทนี้ดูแล้วไม่รู้สนุกยังไง
ในเมื่อเป็นเส้นทางที่ปราศจากใจจริง อันอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง เดินหน้าเพื่อไปพบกับความเหน็บหนาวโดยแท้
เพราะวิบากที่โหดร้ายที่สุดสำหรับกรรมที่ทำเป็นอาจิณประเภทนี้ คือ
ไม่อาจบังคับแม้ใจตัวเองให้ ‘จริง’ กับใคร ต่อให้นึกพิศวาสก็ตาม
และแม้อยากรักใครก็ยากจะประจวบเหมาะพร้อมกันไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า
สำหรับคำถามหลักของคุณ เอาเฉพาะจุดที่กลับเป็นฝ่ายตกหลุมรัก
เสียดมเสียดายใหญ่หลวง ก็ต้องดูที่ตอนต้น
ว่าสิ่งที่คุณทำกับเขาเป็นการสร้างเวรให้ต้องตกอยู่ในวงจรผูกเวรร่วมกันหรือเปล่า ให้สำรวจตัวเองดีๆ
ว่าในระยะแรก คุณมีความจงใจแกล้งยั่วเธอให้หลงไหม? และเมื่อพบว่าอีกฝ่ายหลงรักคุณข้างเดียว
คุณสะใจเหมือนผู้ชนะที่อยู่เหนือผู้แพ้ไหม? ถ้าใช่ก็นั่นแหละ
ฟ้องว่าคุณกับเธออาจวนเวียนอยู่ในวงจรผูกเวรกันมา และต่อเวรกันอีก
หากคุณยินดีกับการทำให้อีกฝ่ายผิดหวังเสียใจ
และรู้สึกกระหยิ่มลำพองคล้ายแก้แค้นได้สำเร็จ
ทั้งที่ชาตินี้เขาพยายามทำดีกับคุณและเป็นฝ่ายยอมอ่อนเข้าหาคุณ
ไม่เคยทำร้ายคุณเลยแม้ด้วยความคิด มันน่าจะบอกเป็นนัยได้อยู่แล้ว
ว่าเคยมีเรื่องกันมา เพราะถ้าไม่มีเวรชนิดนี้อยู่ก่อน
มโนธรรมก็น่าจะสั่งให้คุณสงสารและเห็นใจเขา มากกว่าที่จะไปนึกสมน้ำหน้าเขา
ณ จุดที่คุณเย็นชาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แสดงให้เห็นว่าเวลานั้นถึงรอบที่คุณมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจของเขา คุณชนะ
และส่วนลึกของคุณก็พึงพอใจ ไม่นึกสงสารเขาสักนิดเดียว กระทั่งรอบของเวรเหวี่ยงมาอีกฝั่งหนึ่งในเวลาต่อมา
จู่ๆ คุณอาจคิดถึงเขาและสำนึกผิดอย่างรุนแรง เสียดายและอาลัยอย่างใหญ่หลวง
นั่นแหละชี้ชัดว่าอยู่ในช่วงที่คุณต้องโดนเล่นงานจากวงจรภัยเวรเข้าแล้ว
ขอให้สังเกตเข้ามาในใจ
เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เมื่อแรงหมุนของวิบากเหวี่ยงให้ขึ้นมาอยู่ข้างบน
เป็นฝ่ายอยู่เหนือคู่เวร คุณจะเห็นเป็นเรื่องสนุก ตีปีกลำพองว่าข้ามีเสน่ห์ ข้าแน่
ข้าชนะ แต่เมื่อใดถูกเหวี่ยงไปอยู่ข้างล่าง เป็นฝ่ายติดตามอย่างเศร้าโศก
ก็จะรู้สึกว่าคนชนะโหดร้าย และมักนึกด้วยความเจ็บใจ อาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ว่า
สักวันฉันอยากให้เธอมองฉันด้วยความเสียดายตาละห้อยคืนบ้าง
และแล้ววงจรของการผูกเวรก็ดำเนินต่อไป
อย่างเธอในกรณีของคุณ ขอเพียงเธอสะใจและพูดทิ่มตำคุณแม้แต่นิดเดียว
ก็จะเป็นการตีตั๋วเตรียมรับเวรรอบต่อไปทันที
รอก็แค่เมื่อใดแรงหมุนของวิบากจะเหวี่ยงให้คุณขึ้นไปมีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจเธออีกอาจเป็นชาตินี้
หรืออาจเป็นชาติหน้า!
ที่กล่าวข้างต้นเป็นกรณีปกติของวงจรไล่จับและหลบหลีก
แต่ยังมีกรรมสัมพันธ์แบบอื่นอยู่อีก ที่ทำให้ผลัดกันรัก ผลัดกันเมินได้
นั่นคือการได้เคยสาปแช่งกัน หรือลั่นประกาศแบบผลัดกันทิ่มแทงให้เจ็บลึก
ทำนองว่าเกิดชาติไหนขอจงอย่าได้เจอกันอีก
ฉันจะไม่มีวันหน้ามืดเอาแกมาทำผัวทำเมียอีกเป็นอันขาด!
คำสาปแช่งหรือการตั้งปณิธานทำนองนี้
ต่อให้หนักแน่นด้วยความโกรธแค้นแน่นอกเพียงใด
ก็เป็นเพียงปัจจัยลบในสายใยความสัมพันธ์ ครั้งหนึ่ง
คุณไม่อาจตัดให้ตายขายให้ขาดอย่างสิ้นเชิงเพียงด้วยการลั่นวาจา
โดยเฉพาะถ้าอยู่กินร่วมกันอย่างเป็นสุขมาก่อน
คงนึกไม่ถึง
ว่าการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมีความหมายมากกว่าที่คุณคิด ทุกการเคลื่อนไหวไม่ใช่แค่ลมแล้งที่ผ่านมาแล้วผ่านไปเฉยๆ
การกินข้าวด้วยกัน การช่วยกันดูแลบ้านเรือน ตลอดจนการนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน
เหล่านี้ล้วนถักทอเป็นสายใยร้อยรัดกัน ผูกจิตผูกใจเข้าด้วยกัน
ต่อให้อยู่กันแบบซังกะตาย อยากหนีพ้นๆหน้าในสามวันเจ็ดวันก็เถอะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัย
๒ ประการ ประการแรก คือ เคยอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีต ประการที่สอง คือ
ปัจจุบันเกื้อกูลกัน หากขาดเหตุปัจจัยข้อใดข้อหนึ่ง ความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้
ปัญหา คือ
หญิงชายหลายคู่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีต และปัจจุบันก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วย
จึงทำให้เกิดความรัก ความรู้สึกวาบหวาม ความดึงดูดกายดึงดูดใจในกันและกัน แต่ระหว่างอยู่ร่วมกันในอดีตอาจเคยสาปแช่ง
เคยตั้งปณิธานว่าจะไม่มีวันยอมเป็นผัวเป็นเมียกันอีก วจีทุจริตที่เคยมี
ตลอดจนความตั้งใจที่หนักแน่น จะส่งกำลังบีบให้ผลัดกันรัก ผลัดกันเมิน
หรือกระทั่งทั้งรักทั้งเกลียดพร้อมกันเบ็ดเสร็จในตัว
มนุษย์กิเลสหนาอุจจาระเหม็นนั้น
นำมาอยู่ด้วยกันจะให้มีแต่ดีกับดีนั้นยากครับ เพราะคนเรามีความแตกต่าง ชอบดู
ชอบฟัง ชอบกิน ชอบอยู่ ชอบนอน ไม่เหมือนกัน ความรักบนรสนิยมที่แตกต่างมักลงเอยเป็นความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หรืออิดหนาระอาใจ อยากบังคับให้อีกฝ่ายเป็นอย่างตน ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้
ขอเพียงแต่ว่าอย่าถึงขั้นก่อโศกนาฏกรรม หรือสาปแช่ง หรือตั้งปณิธานเลิกคบไปทุกชาติ
เพราะถ้าถึงขั้นนั้น ในที่สุดก็มักต้องร่วมเสวยรสสุกๆดิบๆ โหด มัน ฮาร่วมกันอย่างไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้ยุติเสียทีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น