ถาม : ผิวสีถูกกำหนดขึ้นจากกรรมอะไรคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๘
ดังตฤณ:
มีปัจจัยหลายประการครับ ถ้าพูดแบบผิวเผินที่สุด สีของผิวกายในปัจจุบันชาติ สะท้อนให้เห็นสีของจิตในอดีตชาติ ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นเมตตามากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางขาวละเอียด แต่ถ้าสั่งสมกรรมชนิดที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นพยาบาทมากๆ ผิวพรรณก็จะออกแนวโน้มไปทางดำกระด้าง
คุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีเมตตาสูง
ได้แก่ ความเป็นคนโกรธยากหายง่าย และเป็นผู้สละให้คนอื่นง่ายแต่กอบโกยเข้าตัวยาก
การมีเมตตาสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย วาจา
ใจในทางเป็นกุศล ดังนี้
๑) ความคิดในเชิงสละมลทินออกจากจิต
นับแต่ความคิดสละความตระหนี่ ความคิดสละความผูกใจเจ็บแค้นอาฆาต
และความคิดสละความเห็นผิดทำนองคลองธรรม นอกจากนี้ยังมีทางลัดแบบภิกษุในพุทธศาสนา
คือเจริญเมตตา ตั้งจิตไว้เป็นสุขอย่างใหญ่ แล้วแผ่ไปไม่มีประมาณ
กระทั่งเป็นอัปปมัญญา คือรวมจิตถึงฌานด้วยอำนาจความสุขที่แผ่ไปทั่วทุกทิศอย่างไร้ขอบเขตนั้น
หากเจริญเมตตาได้เป็นปกติตลอดชีวิต ก็ยากที่จะเกิดโทสะเปื้อนจิตได้เกินอึดใจ
อย่าว่าแต่จะยกระดับขึ้นเป็นความอาฆาตพยาบาทยืดเยื้อยาวนาน
๒) คำพูดในเชิงประนีประนอมประสานประโยชน์
นับแต่คำพูดถึงความจริงอย่างตรงไปตรงมา คำพูดที่ไพเราะเสนาะหู
คำพูดที่นุ่มนวลปราศจากการให้ร้าย และคำพูดที่เปี่ยมด้วยสติไม่เพ้อเจ้อเลอะเทอะ
วจีกรรมที่ขาวสะอาดจะปรุงแต่งจิตให้ขาวสะอาดตามไปด้วย
และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ยากเช่นกัน
๓) การกระทำในเชิงให้คุณ
นับแต่การเก็บมือไม้และกายส่วนต่างๆไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง
ไปจนกระทั่งการใช้มือไม้และกายส่วนต่างๆสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ
แม้เมื่อให้ทานยังค้อมหลังก้มลงให้ ไม่ใช่โยนให้อย่างเศษเดน
ความนุ่มนวลทางกิริยาจะปรุงแต่งจิตให้โน้มน้อมไปในทางถ่อมตน ปราศจากความกระด้าง
เป็นปฏิปักษ์กันกับนิสัยก้าวร้าว ไม่เป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาท
กรรมขาวที่กล่าวมาข้างต้นจะทำให้
‘ใจดี’ มีประกายเมตตา มีความขาว ซึ่งยิ่งประกอบกันมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ
‘กายใน’ เป็นไปในทางขาวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง
พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง
ส่วนคุณสมบัติหลักๆอันเป็นเครื่องชี้ว่าจิตมีความพยาบาทสูง
ได้แก่ ความเป็นคนโกรธง่ายหายช้า และเป็นผู้สละให้คนอื่นยากแต่กอบโกยเข้าตัวง่าย
การมีความพยาบาทสูงมิใช่สิ่งที่จงใจกำหนดได้เองลอยๆ แต่ต้องเป็นผู้กระทำกรรมทางกาย
วาจา ใจในทางเป็นอกุศล ดังนี้
๑) ความคิดในเชิงสะสมมลทินเข้าจิต
นับแต่ความคิดโลภเอาเข้าตัว ความคิดผูกใจเจ็บไม่เลิก
และความคิดหลงสำคัญผิดอันเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านแส่ส่าย ความมืดดำเป็นอกุศล
นอกจากนี้ยังมีทางด่วนพิเศษไปสู่ความหายนะทางจิต คือเลือกเชื่อ
หรือปลูกฝังความเชื่อตามลัทธิที่ชักชวนให้หลงผิด เช่น ร่ำเรียนไสยดำ
นับถือบูชายักษ์มารเป็นสรณะ
ปฏิเสธบุญคุณพ่อแม่แต่หันไปเลื่อมใสบุญคุณเทพหรือเจ้าลัทธิแทน
ความหลงผิดจะทำให้จิตมืด จิตมืดจะเป็นที่ตั้งของโทสะและพยาบาทได้ง่าย
๒) คำพูดในเชิงก่อโทษและเพิ่มรอยร้าว
นับแต่คำพูดบิดเบือนความจริง คำพูดก้าวร้าวหยาบคาย คำพูดให้ร้าย
และคำพูดไร้สติที่ทำให้ใจเราใจเขาพล่านไปอย่างปราศจากทิศทาง
วจีกรรมที่ดำสกปรกจะปรุงแต่งจิตให้ดำสกปรกตามไปด้วย
และเป็นที่ตั้งแห่งพยาบาทได้ง่ายเช่นกัน
๓) การกระทำในเชิงให้โทษ
นับแต่การลงไม้ลงมือเบียดเบียนผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง ไปจนกระทั่งการเก็บมือเก็บไม้ไม่ยอมสงเคราะห์ผู้ต้องการความช่วยเหลือ
การเคลื่อนไหวแบบผลุนผลันปึงปัง การนิยมวิธีใช้กำลังบังคับผู้อ่อนแอกว่า
ก็ล้วนเป็นที่มาของใจกระด้างกระเดื่อง เป็นมิ่งมิตรกันกับนิสัยก้าวร้าว
เป็นที่ตั้งอันมั่นคงของโทสะและพยาบาท
กรรมดำที่กล่าวมาจะทำให้
‘ใจดำ’ มีความมืดชนิดแผ่รังสีอำมหิต ซึ่งยิ่งหนาแน่นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้นิมิตของ
‘กายใน’ เป็นไปในทางดำมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเกิดใหม่จริง
พลังกรรมก็จะรวมตัวไปคุมรูปร่างและผิวพรรณวรรณะให้เหมือนกายในดังกล่าวนั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ
ต้องกล่าวว่า ถ้า
กล่าวโดยสรุป
ถ้าจิตกระเดียดไปทางอารมณ์ดี จะมีกระแสเมตตาคุมรูปให้ขาวละเอียด
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความไม่ถือโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณประณีต
ถ้าจิตกระเดียดไปทางเจ้าโทสะ จะมีกระแสอาฆาตคุมรูปให้ดำกระด้าง
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมักโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณทราม
กล่าวโดยสรุป ถ้าจิตกระเดียดไปทางอารมณ์ดี
จะมีกระแสเมตตาคุมรูปให้ขาวละเอียด สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความไม่ถือโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณประณีต
ถ้าจิตกระเดียดไปทางเจ้าโทสะ จะมีกระแสอาฆาตคุมรูปให้ดำกระด้าง
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความมักโกรธมีวิบากเป็นผิวพรรณทราม
ถาม : ผิวขาวกับผิวดำมีหลายแบบ ขาวซีดก็มี
ขาวอมชมพูก็มี ดำน่าเกลียดก็มี ดำเนียนตาก็มี อย่างนี้ขึ้นอยู่กับความต่างของเมตตาหรือพยาบาทอย่างไรคะ?
ขอจำแนกลักษณะผิวเป็นข้อๆพร้อมกรรมอันเป็นต้นเค้าดังนี้ครับ
๑) ผิวขาวเผือด
เกิดจากการมีความโกรธเบาบาง ไม่ค่อยผูกพยาบาท ทว่าขณะเดียวกันก็เมตตาแบบงั้นๆ
คือไม่ได้มีความรักเอ็นดูในเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งคนและสัตว์สักเท่าไร
๒) ผิวขาวอมชมพู
เกิดจากการมีจิตฝักใฝ่ในเมตตาธรรม
และเป็นเมตตาที่ทอรัศมีออกมาจากความเอ็นดูรักใคร่คนและสัตว์อย่างลึกซึ้ง
ขอให้สังเกตว่าคนผิวขาวสวย
มักมีเนื้อหนังนุ่มแน่นและเนียนละเอียดเหมือนแผ่นหยกด้วย
ผู้มีความสมบูรณ์แบบทางผิวพรรณชนิดไร้ที่ติประเภทนี้ จะสะท้อนอดีตกรรมในปางก่อน
คือเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาอย่างไร้ที่ติตลอดชีวิต
จึงมีกำลังส่งจากกรรมเก่าคุมรูปให้ขาวสวยอย่างยืดเยื้อยาวนาน
แม้พลาดพลั้งทำบาปอกุศลก็ไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลงเป็นความเสื่อมโทรมคล้ำหมองของผิวง่ายนัก
๓) ผิวดำขำ
เกิดจากการมีเมตตาที่เจืออยู่ด้วยโทสะอ่อนๆ ขอให้นึกถึงคนปากร้ายใจดี
ซึ่งก็แยกย่อยได้อีกหลายแบบ ปากร้ายน้อยใจดีมาก ปากร้ายมากใจดีน้อย
ถ้าปกติใจดีแบบเยือกเย็น ก็จะเป็นตัวกำหนดความเนียนของผิวมากเป็นพิเศษ
๔) ผิวดำน่าเกลียด
เกิดจากการมีแต่โทสะท่าเดียว หาเมตตาทำยายาก ขอให้นึกถึงคนใจร้าย มักโกรธ
โกรธง่ายหายช้า
คุณจะไม่นึกไม่ออกเลยว่าจิตใจเขามีความสว่างหรือมีความเย็นกับใครได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใจร้ายแล้วปากยังพ่นเป็นแต่คำหยาบคาย
ชาติถัดมาจะมีผิวพรรณทรามถึงขั้นรู้สึกเป็นปมด้อย
หรือกระทั่งเป็นโรคผิวหนังบางอย่างที่ส่งกลิ่นเหม็นผิดปกติ
ชำระให้สะอาดหรือประพรมให้หอมได้ยาก
ขอให้สังเกตว่าบางคนทั้งผิวทั้งกลิ่นปากจะน่ารังเกียจควบคู่กัน
นั่นก็เพราะกรรมทางวาจาบางอย่างมีวิบากแรง
แสดงผลทั้งทางผิวหนังและกลิ่นปากอย่างชัดเจน นอกจากนี้ แม้หันมาใฝ่ใจทำทานรักษาศีล
ก็อาจต้องใช้เวลา หรือต้องใช้กำลังใจมากหน่อย ผิวพรรณจึงจะดูเปล่งปลั่งขึ้นได้ด้วยรัศมีบุญใหม่
๕) ผิวไม่ดำไม่ขาว
ไม่งามไม่น่าเกลียด คือเป็นกลางๆ เกิดจากการมีเมตตาและพยาบาทในแบบที่คาดเดาได้
เรียกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรก็ใจดีใจร้ายตามกระแสโลกไปเรื่อย
ไม่มีการควบคุมตัวเอง ไม่มีหลักการใดเป็นพิเศษ เช่น ถ้าโดนด่าแรงๆก็จะโกรธแรงและผูกใจเจ็บแรง
พอเขามาง้อหรือขอโทษก็ค่อยอโหสิให้ แตกต่างจากพวกใจดี
ที่แม้โดนเล่นงานก่อนก็ทำใจอภัยได้เอง โดยไม่ต้องมีใครมาขอโทษ
แล้วก็แตกต่างจากพวกใจร้าย ที่แม้ใครทำดีให้ก็อาจหมั่นไส้ จับผิดเพ่งโทษได้
สำหรับผิวเป็นกลางๆนี้ก็คือคนทั่วไปในระดับเฉลี่ย แปรปรวนตามกรรมใหม่ง่าย
คือถ้าทำบาปมากๆผิวอาจแปรเป็นหมองคล้ำอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าทำบุญใหญ่ๆผิวอาจผุดผาดขึ้นทันตา
นอกจากนี้ยังอาจมีกรณียกเว้นที่ไม่เข้าข่ายข้างต้น
เช่นบางคนมีผิวดำสนิท ทั้งที่จิตใจดีงามมาก ไม่มีเค้าเลยว่าจะเคยเป็นพวกเจ้าโทสะ
นั่นเป็นเพราะอดีตชาติเคยเห็นแล้วชอบใจในผิวสีแบบนั้น
เป็นกรรมทางใจที่ส่งให้ไปเสวยภพของคนผิวดำสนิทได้เหมือนกัน พูดง่ายๆคือโลภะพาไป
และในทางตรงข้าม หากชอบให้ของ ชอบให้อภัย ชอบช่วยคน มีความโลภน้อยยิ่ง
ถึงแม้ขี้หงุดหงิดขึ้งเคียดเก่งก็อาจจะยังมีบุญฝ่ายขาวคุ้มผิวให้ขาวได้อยู่
อีกพวกคือไม่ได้เจ้าโทสะ
แต่จมปลักอยู่กับความหม่นหมองเศร้าสร้อยเป็นนิตย์
อันนี้ก็มีสิทธิ์เกิดเป็นคนผิวดำคล้ำหมองไม่น่าดูได้เหมือนกัน พูดง่ายๆคือโมหะพาไป
และในทางตรงข้าม หากฝึกที่จะมีสติตื่นตัวสดใส เป็นอยู่ด้วยความกระตือรือร้น
เกิดปัญหาแล้วใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ อันนี้แม้อารมณ์บูดอยู่เรื่อยๆก็ไม่ถึงขั้นทำให้ผิวพรรณหยาบกร้านนัก
ขอตั้งข้อสังเกตอีกแง่หนึ่ง
คือการบำรุงผิวและการรู้จักเคล็ดลับออกกำลังกายให้เลือดลมเดินดี
อาจทำให้ผิวงามขึ้น แต่จะขาดรัศมีหรือกระแสทางใจที่ก่อให้เกิดความรู้สึกด้านดี
คล้ายคุณเห็นหุ่นขี้ผึ้งของยอดฝีมือไร้ที่ติ
พอสัมผัสใกล้ชิดก็รู้สึกว่าขาดชีวิตจิตใจ แห้งแล้ง ไม่ชุ่มชื่น
แตกต่างจากความงามที่เปล่งออกมาจากแรงบุญ ซึ่งชวนให้เกิดความชื่นใจ
รู้สึกมีชีวิตชีวาได้ยิ่งกว่ากันมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น