ถาม : เป็นผู้หญิงสามารถบรรลุธรรมได้ไหมคะ? ได้ยินจากสำนักที่ตัวเองไปเรียน
บอกว่าต้องใช้กรรมให้หมดก่อน สะสมบุญให้มากก่อน ชาติต่อๆไปจึงมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙
ดังตฤณ:
เป็นชายเป็นหญิงก็มีกรรม มีวิบากต้องชดใช้เรื่อยไปกันทั้งนั้นแหละครับ ต่อให้ชาตินี้คุณตั้งใจทำบุญแค่ไหน ในที่สุดบั้นปลายชีวิตเมื่อมองย้อนหลังกลับไป ก็จะพบกับบาปกรรมอันทำไปด้วยความไม่รู้มากมายก่ายกองอย่างแน่นอน และจะเป็นเช่นนี้ในชาติหน้าด้วย เอาแค่ขัดเคืองใครแล้วนึกด่าเขาอยู่ในใจ ก็ได้ชื่อว่าก่อบาปด้วยมโนกรรมแล้ว
นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่ายิ่งต้องเกิดใหม่มากขึ้น
คุณก็ต้องทำบาปมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
ไม่มีใครหรอกครับที่สั่งสมแต่บุญได้อย่างเดียว เพราะคนเรามีโลภะ โทสะ
โมหะเป็นเพื่อนติดตัวไปบั่นทอนสติปัญญากันทุกภพทุกชาติ อย่างไรก็ต้องพลาดผิด
คิดบาป พูดบาป ทำบาปกันเรื่อยไปเสมอ คุณไม่มีวันใช้กรรมได้หมด
ตราบเท่าที่ยังต้องทำกรรมเพิ่มไม่หยุดหย่อน
และคุณไม่มีทางสั่งสมปัญญาให้พอกพูนขึ้นอย่างเดียว
ตราบเท่าที่ยังมีกิเลสตามไปยั่วให้หลงโง่อยู่ไม่ขาด
คราวนี้มองในแง่ที่ว่าต้องสะสมบุญมากแค่ไหน
ถึงจะพอเพียงแก่การบรรลุธรรม ก็ขอให้พิจารณาที่พุทธพจน์อันเป็นอมตะที่ว่า ใครก็ตาม
ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ด้วยความเพียรให้ต่อเนื่อง อย่างช้าที่สุดภายใน ๗
ปีเขาจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระอรหันต์ขีณาสพองค์หนึ่งในโลก
คำว่า ใครก็ตาม
หมายถึงจะเป็นหญิงหรือชาย จะเป็นเด็กหรือคนแก่ ก็ล้วนแล้วแต่มีสิทธิ์ทั้งสิ้น
ขอให้เข้าใจวิธีเจริญสติปัฏฐานให้ถูกเถอะ นี่นะครับ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้
ยังมีหลักฐานบันทึกอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร
ขอให้เลือกเอาว่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเชื่อใครอื่น สมัยพุทธกาลก็มีทั้งเด็ก สตรี
และคนชรา ที่บรรลุธรรมกันอย่างครึกโครม
มีรายชื่อปรากฏบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นร้อยเป็นพันเลย
พระผู้ถวายการรับใช้เคยทูลถามพระพุทธองค์
ว่าเป็นหญิงสามารถสำเร็จธรรมขั้นต่างๆ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
ไปจนถึงพระอรหันต์ได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสรับรองว่าได้ และนั่นก็เป็นเหตุให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ในครั้งพุทธกาล
ปัจจุบันแม้ไม่มีภิกษุณีแล้ว
แต่ก็ยังมีแม่ชี มีหญิงชาวบ้านที่เพียรปฏิบัติธรรม
และได้รับผลจากธรรมกันตามสมควรแก่ความเพียร
ไม่ใช่ว่าหลักฐานของหญิงผู้บรรลุธรรมขาดสายหายหนไปจากโลกแล้ว
เพียงแต่อาจหายากหน่อย ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร เพราะความเชื่อทำนองเดียวกับที่คุณได้รับมา
และเป็นข้อประเด็นของคำถามนั่นแหละ
ว่ากันตามเนื้อผ้านะครับ
เพื่อบรรลุธรรมนั้น กายจะเป็นชายหรือเป็นหญิงไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าจิต
‘เห็นตามจริง’ ได้ชัดเจนจนปล่อยวางเพียงใด ถ้าเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่
เจอเรื่องน่าขัดเคืองหน่อยก็เป็นฟืนเป็นไฟรุนแรง
หรืออยากได้อะไรจะเอาให้เป็นไปตามใจ ไม่สนเหตุผลต้นปลาย
อย่างนี้คงเห็นตามจริงได้ยาก
อีกประการหนึ่ง
หากมีศรัทธาแรง แต่เจอความยากลำบากหน่อยก็หวั่นไหวง่าย มีความกระวนกระวาย
คิดกลับไปกลับมาบ่อยๆ หาความแน่นอนไม่ได้ อย่างนี้ก็เอาดีถึงขั้นบรรลุธรรมไม่ไหวหรอก
นี่ก็เป็นเรื่องต้องสำรวจกันทั้งชายและหญิง
ว่าตนอยู่ในเพศไหนแล้วมีทุนอุดหนุนต่างกันมากน้อยเพียงใดครับ
กล่าวอย่างรวบรัดคือหากคุณพบว่าตนเองมีคุณสมบัติเข้าข่าย
ได้เป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา สามารถศึกษาให้เข้าใจวิธีเจริญสติอย่างถูกต้อง
เท่านั้นก็เป็นหลักฐานโต้งๆแล้วว่า ‘มีบุญพอ’แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์
อย่าต้องไปคำนึงว่ากำลังอยู่ในอัตภาพหญิงหรือชาย
ที่เหลือคือเพียรเจริญสติอย่างไม่ลดละเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น