ถาม : รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เหมือนจิตใจอ่อนแอ
ต้องยึดเหนี่ยวแฟนเป็นที่พึ่งทางใจทุกวัน จนบางทีกลายเป็นภาระของเขา
รู้ตัวว่าบางทีเป็นที่รำคาญ
พอจะมีวิธีสร้างความเข้มแข็งและความเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ไหมคะ?
>
จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๐
ดังตฤณ:
เหตุแห่งความอ่อนแอมีได้มากกว่าที่หลายคนคิด บ้างก็เพราะเรี่ยวแรงน้อย บ้างก็เพราะมุ่งมั่นหาความสำเร็จแต่ล้มเหลวบ่อย บ้างก็เพราะตั้งใจทำอะไรแล้วโลเลเปลี่ยนใจง่าย บ้างก็เพราะขาดความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเข้าสังคมได้ บ้างก็เพราะชีวิตราบเรียบสุขสบายจนเฉื่อยชา บ้างก็เพราะขี้เหงาและไม่รู้สึกว่าตัวเองจะอยู่รอดโดยปราศจากที่พึ่งทางกายหรือทางใจได้เลย
โดยธรรมชาติคนเราต้องการเพื่อนคุยที่ถูกอัธยาศัย
ต้องการสัมผัสของความรักความอบอุ่น และต้องการการเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปในเพศตนด้วยสิ่งที่มีในเพศตรงข้าม
การยังไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือจุดเริ่มต้นของความเหงา
เมื่อหายเหงาด้วยใครสักคนที่ถูกใจ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือเป็นคนรักที่เป็นเพศตรงข้าม
เขาอาจเป็นเสมือนยาเสพติด ที่คุณเคยชินกับความสุขจากการเสพ เมื่อไรไม่ได้เสพก็ย่อมเหมือนจะลงแดงเอาง่ายๆ
พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับคนถูกใจ
จึงเป็นการโทร.คุยหรือนัดพบทุกวัน
ถ้าอยู่บ้านเดียวกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็เบาแรงทั้งสองฝ่าย
แต่หากยังอยู่คนละบ้าน ยังไม่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันจริงจัง
อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางเป็นแน่
และจะยิ่งแย่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สะดวกกายหรือไม่สะดวกใจ
แต่ถูกคาดคั้นให้ต้องพบกันหรือคุยกันอย่างสม่ำเสมอ
การไม่ได้พบหรือไม่ได้คุยอย่างใจอยาก
มักก่อให้เกิดคลื่นความไม่พอใจ ซึ่งอีกฝ่ายจะรู้สึกได้
และอึดอัดเหมือนคนถูกมัดมือมัดเท้าให้ต้องทนอยู่ในกรงซึ่งบางครั้งบางวันอาจไม่สมัครใจ
เมื่อคิดว่าคนรักเป็นยาเสพติด
เรารู้ตัวว่าติดยาเกินขนาด
เห็นโทษของการเสพติดที่มีผลเป็นทุกข์ทางใจของทั้งเราและเขา
ก็อาจกระตุ้นให้คิดได้ว่าควรลดปริมาณการเสพยาลงเสียที หากไม่รู้ตัวว่าติด
หากไม่เห็นโทษของการเสพติด คุณก็จะเดินหน้าเสพต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ
และในที่สุดก็จะพบว่าความรักความอาลัยเป็นกรงขังจิตให้ติดอยู่กับทุกข์
ติดอยู่กับความกระวนกระวาย
โดยมีความสุขวูบวาบเป็นเศษอาหารให้อิ่มแบบหลอกๆเพียงครู่
การเสพติดจนจิตหมกมุ่นนั้น
ทำให้อ่อนแอ และตั้งข้อแม้กับตัวเองว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้
ก็ต้องโดยการช่วยเหลือของคนอื่น ฉะนั้นคุณก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา
จะหวังรอให้ใจเลิกยึดไปเองคงยาก
ทางลัดคงไม่มีอะไรเกินทำบุญ
เพราะบุญให้ผลเป็นสุขทางใจ
และความสุขทางใจย่อมเป็นกำลังเสริมเติมส่วนที่ขาดพร่องได้เสมอ ยิ่งหากรู้วิธีทำบุญในแบบที่จะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง
และรู้สึกขึ้นมาว่ามีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก็รอดได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร
คุณก็จะลดความทุรนทุรายลง
อย่างน้อยก็มากพอจะอยู่คนเดียวสักวันโดยไม่ต้องรบกวนให้ใครโทร.หาหรือมาพบ
ก่อนอื่นขอบอกให้สบายใจว่าวิธีการที่จะแนะต่อไปนี้
ไม่ได้ทำให้คุณคิดอยากเลิกกับแฟน
หรือเกิดความอยากทำบุญด้วยอุปเท่ห์วิธีเช่นนี้ตลอดไป
ผลที่ได้จริงๆคือการลดความต้องการพึ่งพายาเสพติดในตัวคนรัก
ทำให้เป็นอิสระต่อกันมากขึ้น มีโอกาสพักหายใจหายคอ เป็นสุขอยู่กับตัวเองเสียบ้าง
ทางพุทธศาสนานั้น
ถือว่าการทำบุญที่จะก่อให้เกิดพลังระดับสูง
และให้ผลเป็นความสุขทางใจได้ง่ายๆด้วยเวลาอันรวดเร็ว
เห็นจะไม่มีอันใดง่ายกว่านำสิ่งของหรืออาหารไปถวายพระภิกษุถึงวัด
หรืออย่างที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นการ ‘ทำสังฆทาน’ นั่นเอง สังฆทานมีผลใหญ่จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำด้วยความสบายใจ และทำกับผู้มีสง่าราศีแบบพระให้นึกเลื่อมใสได้บ้าง
การทำสังฆทานครั้งนี้เรามุ่งมาที่ใจเป็นหลัก
ไม่หวังผลพลอยได้อื่นใดทั้งสิ้น ขอแจกแจงเป็นข้อๆดังนี้
๑) คิดเอง คือคิดว่าจะนำของสำคัญในการดำรงชีพอันใดไปถวาย
ไปถวายวัดไหน เมื่อใด ในขั้นนี้ดูเผินๆเหมือนไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก แต่ความจริงก็คือถ้าคุณไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเอง
ก็จะเกิดข้อสงสัย เกิดความไม่มั่นใจ ตลอดจนมีอาการจดๆจ้องๆว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี หากวาระแรกอยากทำแล้วตัดสินใจทำดีคนเดียวโดยไม่ปรึกษาใครให้ไขว้เขว
ไม่ต้องฟังเสียงใครว่าเอาดีหรือไม่เอาดี คุณได้ชื่อว่าสร้างความเด็ดเดี่ยว
ลำพังคนเดียวขึ้นมาสำเร็จแล้ว ชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที ถ้าคิดได้จริง
ตั้งใจได้จริง ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
หากสองสามวินาทีทองนั้นมาถึงก็อย่าช้า รีบฉวยมันไว้ทันที
เพราะสองสามวินาทีทองนั้นอาจไม่กลับมาอีกเลยชั่วกาลนาน
๒) เตรียมของเอง
คือใช้เงินของตนเอง ห้ามหยิบยืมใคร ของที่จะถวายเป็นสังฆทานนั้น
ขอให้จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น สบู่ก้อนเดียวก็เป็นสังฆทานได้
ถ้าจิตคิดไว้ว่าจะถวายแด่สงฆ์
โดยไม่ตั้งข้อจำกัดจำเพาะเจาะจงไว้ก่อนว่าจะถวายพระรูปใด
เพราะฉะนั้นคุณน่าจะมีทุนทรัพย์พอ และสามารถซื้อหาได้อย่างสบายใจ ในขั้นนี้ตอนออกไปซื้อของเตรียมถวาย
คุณอาจเริ่มรู้สึกสงสารตัวเอง นึกอยากได้ใครสักคนมาช่วย
โดยเฉพาะถ้าคิดซื้อหลายๆชิ้น และเคยชินกับการซื้อข้าวของร่วมกับคนอื่น ให้กำหนดจิตตัดใจลงไปเลยว่าเราจะซื้อของโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วย
กับทั้งจะไม่ปล่อยให้เกิดความคิดสงสารตัวเองอย่างเด็ดขาด
ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวคุณน่าจะทำใจได้ไม่ยากอยู่แล้ว
หากระวังไม่ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดอยากได้คนช่วยเตรียมของได้ตลอดรอดฝั่งกระทั่งซื้อของเสร็จ
คุณจะพบว่าใจตัวเองเงียบเชียบ
และเริ่มเห็นความเข้มแข็งบางอย่างเกิดขึ้นในตัวเองแล้ว
๓) ไปเองคนเดียว
คือถ้าไม่มีรถก็อย่าไหว้วานใครไปส่งทั้งสิ้น ขึ้นรถเมล์หรือนั่งแท็กซี่ไป
เพราะนี่ไม่ใช่การทำบุญธรรมดา แต่เป็นการทำบุญเพื่อขอให้เกิดความเป็นตัวของตัวเอง
ระหว่างเดินทางให้มีสติ อย่าใจลอย อย่านึกน้อยใจ
แล้วก็อย่าให้มีเรื่องรบกวนจิตใจใดๆ ในขั้นนี้คุณจะเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางไปทำบุญคนเดียวเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีความหมาย
มีความตั้งใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีกรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในบัดนั้น ให้มองว่าการเดินทางไปทำดีตามลำพังเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าหดหู่เศร้าสร้อยแต่อย่างใด
ชั่วเวลาไม่กี่สิบนาทีทำไมจะตัดใจเลิกคิดหยุมหยิมไม่ได้
คือไม่ใช่ให้เข้าฌานเลิกคิดอะไรหมดนะครับ
แต่ถ้ารู้สึกตัวว่าคิดเรื่องที่ทำให้เกิดความเหงา ความหดหู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจ
หรือความโมโหโกรธาใดๆ จงรีบหยุดและเปลี่ยนเรื่องคิดไปในทางมงคลทันที
๔) ทำเองคนเดียว
คืออย่าตั้งความหวังว่าใครที่วัดจะเข้ามาช่วยยกของ ให้นึกถึงการใช้แรง
ใช้กำลังของตนเองในการทำบุญครั้งนั้น
ในขั้นนี้คุณจะรู้สึกชัดว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง ตั้งความคิดให้แน่วแน่ว่าจะรักษาจิตไว้ให้พึ่งพาตนเอง
ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากใคร (แต่ถ้ามีเด็กวัดหรือใครเขาอยากเข้ามาช่วยเองก็ให้ช่วยไปนะครับ
อย่าไปตะเพิดไล่ปฏิเสธน้ำใจเขาล่ะ)
คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงกับแค่ครึ่งชั่วโมงที่อยู่ในวัด
ที่คุณจะอยู่กับความตั้งใจทำอะไรดีๆด้วยตนเองตามลำพังสักครั้ง
โดยไม่เห็นว่าตัวเองน่าสงสารกับการไม่มีใครเคียงข้าง
๕) อธิษฐานคนเดียว
คือหลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้ว ให้หันไปทางพระประธานหรือพระพุทธรูป
นั่งพนมมือตัวตรง ถ้าบรรยากาศเอื้อให้พูดดังๆก็เปล่งวาจาชัดถ้อยชัดคำไปเลยว่า ครั้งนี้เรามาทำบุญได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งใคร
ก็ขอให้ใจเป็นสุขได้กับตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยใครอื่นเถิด
ถึงตรงนี้คุณจะรู้สึกสงบและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างประหลาด
ตัวคุณใหญ่กว่าความเหงา และเอาชนะความเหงาได้ง่ายๆแค่นี้เอง
การทำครั้งเดียวอาจให้ผลเป็นความรู้สึกมั่นคงแค่ระยะสั้น
ถ้าให้ดีควรทำซ้ำอย่างนี้สัก ๓ ครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์
เพื่อให้เกิดการสำทับบุญจนแน่นหนาพอ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดเดียวกัน
และไม่จำเป็นต้องทำสังฆทานเท่านั้น
ลองไปตามสถานสังคมสงเคราะห์ต่างๆที่เขาเปิดรับบริจาคข้าวของให้แก่ผู้ด้อยโอกาส
เพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำบุญครบวงจร ก็จะเกิดความเบาสบายและเบิกบานยิ่งๆขึ้น
ภายในอาทิตย์เดียวถ้าทำบุญด้วยตัวเอง
๓ครั้ง คุณจะพบว่าอาการคิดมาก อาการอยากพึ่งพาคนอื่นจะลดลงแบบฮวบฮาบ ที่สำคัญคุณอาจพบว่าตัวเองกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนอื่นอยากมาพึ่งพาไปเสียแทน
ถ้าการณ์พลิกกลับตาลปัตรอย่างนี้ก็อย่าสงสัยเลย
เรื่องของเรื่องนะครับ คนเราชอบอยู่ใกล้ผู้ที่เข้มแข็ง เพื่อดูดซับความอบอุ่น
และรับแรงบันดาลใจมาสู่ตน แต่จะไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอ
เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนเสียพลังงาน และอาจรับกระแสความเกียจคร้านมาเข้าตัวไปด้วย
ผลพลอยได้จากการทำบุญให้มีกำลังใจเด็ดเดี่ยวนี้
จะช่วยให้คุณลดอาการเฉื่อยชาในการทำงานทางโลกได้ด้วย โดยเฉพาะที่เป็นงานหนัก
งานยาก เหมือนต้องขอความช่วยเหลือจากคนนั้นคนนี้ ใจคุณจะคิดไปอีกอย่างหนึ่ง
คือเห็นว่าแค่นี้เอง ทำคนเดียวก็ได้ และในที่สุดก็ทำได้จริงๆ
เรียกความเชื่อมั่นมาให้ตัวเอง
จริงๆอานิสงส์ของการใช้อุปเท่ห์วิธีทำบุญแบบนี้ยังมีอีกมาก
เช่นคุณจะเป็นผู้ทำกิจใหญ่สำเร็จได้ด้วยตนเองเป็นหลัก
ปรารถนาอะไรจะมีแรงหนุนให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง
แต่เอาเฉพาะกรณีที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาของคุณ การทำบุญแบบนี้
จะช่วยให้เห็นว่าความรัก ความติดพันใกล้ชิด เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต
ไม่ใช่ไม่มีแล้วจะเอาชีวิตรอดไม่ไหว ไม่ว่าคนรักของคุณจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน
เขาจะไม่มีอิทธิพลทางใจกับคุณมากมายเกินจำเป็นดังเคยแน่นอน
หมายเหตุสำคัญทิ้งท้ายไว้ด้วย การทำบุญร่วมกันเป็นสิ่งน่าสนับสนุน
และควรให้มีบ่อยๆ เพราะจะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพทุกรูปแบบให้เป็นไปในทางดี
ทั้งวันนี้และวันหน้า คำตอบสำหรับคำถามนี้เป็นแบบเฉพาะเจาะจง
แก้ปัญหาความอ่อนแอไม่เป็นตัวของตัวเองและมีภาวะพึ่งพาสูงเท่านั้นนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น